25. การเดินทางไปกับรถนอน (ตอนที่ 1) วันแรกของการเดินทาง


        เมื่อสิ่งของต่างๆที่เคยถืออยู่ได้เปลี่ยนรูปไปเป็นตัวเลขในบัญชี จนทำให้รู้สึกคล่องตัวขึ้น สำหรับของที่แถมมากับรถนอนที่ผมคิดว่ามากเกินไป ผมก็จะรวบรวมและแยกนำไปบริจาคให้กับแบ็คแพคเกอร์ที่ผมเคยอยู่ ด้วยความหวังว่ามันจะช่วยให้รถมีน้ำหนักเบาขึ้น และของเหล่านั้นคงจะมีประโยชน์มากกว่าหากได้อยู่ในที่ที่มีคนอยู่เยอะ ทั้งนี้รวมถึงผ้าปูที่นอนที่มีหลายผืนเกินไป เครื่องครัวต่างๆ ฯลฯ
          ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่ไม่วายเกิดขึ้นจนได้ก็คือ การที่รถมีปัญหาน้ำมันเครื่องรั่ว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรมากนัก สิ่งที่ต้องทำก็คือหมั่นตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องทุกวัน และคอยเติมเมื่อมันอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง  ผมพยายามนำรถไปซ่อมแล้ว แต่ก็อาจไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ไม่รู้เหมือนกันว่าผมเสียเงินค่าซ่อมไปฟรีๆหรือป่าว แต่ก็รู้สึกว่ามันดีขึ้นนะ อย่างน้อยผมก็รู้สึกแบบนั้น
          ส่วนเรื่องหลังคาด้านผู้โดยสารที่มีรูรั่วอยู่นิดนึงนั้น ผมแก้ปัญหาด้วยการซื้อซิลิโคนหลอดที่เขามักใช้ในงานติดกระจกห้องน้ำมาบีบใส่ ซึ่งก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจมาก สามารถกันน้ำเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางสายฝนได้ร้อยเปอเซ็นต์
 ก่อนการออกเดินทาง ผมได้ลองซ้อมนอนในรถโดยการจอดนอนอยู่หน้าบ้านหนึ่งคืน เพื่อดูว่าจะรู้สึกอย่างไรเมื่อต้องนอนในพื้นที่ที่แคบลง ในขณะที่หากผมต้องการใช้ห้องน้ำผมก็จะเดินเข้าไปใช้ในบ้าน ที่ลองทำแบบนี้ก็เพื่อที่จะดูว่ายังมีสิ่งที่ผมต้องการสำหรับการเดินทางอีกไหม และเพื่อเป็นการทดสอบครั้งสุดท้ายว่าผมพร้อมจริงๆหรือป่าว หลังจากคืนนั้น ผมมีความรู้สึกมั่นใจมากขึ้น และรู้สึกพร้อมมากถึงมากที่สุด
          และในเช้าวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ รถนอนคันสีฟ้าอมเขียวของผมก็มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก เป้าหมายในใจตอนนั้นก็คือ การไปให้ไกลจากที่ที่เคยอยู่ พร้อมกับความสงสัยส่วนตัวว่า ทางด้านตะวันตกของเกาะเหนือจะมีอะไรรออยู่นา..
เส้นทางนี้ไม่ใช่เส้นทางหลวงหลัก จะว่าไปแล้ว จะเรียกว่าเป็นทางหลวงชนบทก็ได้ เนื่องจากมีลักษณะเป็นถนนลาดยางสองเลน ที่พาดเชื่อมระหว่างเมือง Hastings ที่อยู่ทางฝั่งตะวันออก และเมือง Taihape ทางฝั่งตะวันตก ถนนไม่ได้เป็นเส้นตรงอย่างทางหลวงใหญ่ แต่คดเคี้ยวและขึ้นลงไปมาตามสภาพของภูเขา สิ่งที่เห็นได้ตลอดไม่ว่าจะในทิศทางใดก็คือ หญ้าบนท้องทุ่งสีเขียวอ่อน และใบไม้บนต้นไม้ใหญ่ตลอดสองข้างทางที่สีสันดูจะไม่ได้แตกต่างกันกับทุ่งหญ้านัก วัวตัวใหญ่ๆที่มีขนหนาๆปุยๆกับแกะสีขาวที่ร้องแหมะๆ ดูจะเป็นภาพที่ชินตาสำหรับทิวทัศน์ในชนบทของประเทศนี้ 
ผมหยุดจอดรถตามทางเมื่อเห็นป้ายอย่างอุทยานแห่งชาติ ที่มีเส้นทางสำรวจธรรมชาติไว้ให้บริการ พอผมบอกแบบนี้คุณก็อาจจะคิดว่าอุทยานของที่นี่คงจะเป็นที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเดินเที่ยวกันอย่างกวักไกว่ เปล่าเลยครับ ในหลายๆแห่งที่ผมจอดรถเพื่อที่จะเข้าไปเดินเล่นนั้น แทบจะไม่ค่อยมีรถจอดอยู่เลย และดูเหมือนว่าจะมีผมที่เดินอยู่คนเดียวในป่า
นั่นก็เพราะสถานที่หลายแห่งไม่ใช่จุดศูนย์รวมที่มีชื่อเสียงที่นักท่องเที่ยวจะแห่กันมา แต่อาจจะเป็นเพียงป่าของชุมชน ที่คนพื้นที่จะอนุรักษ์และดำเนินกิจกรรมในการดูแลรักษา โดยอาจมีแกนนำในการอนุรักษ์เป็นกลุ่มผู้เกษียณอายุ ร่วมกับกลุ่มนักเรียนประถมในละแวกนั้นเป็นผู้จัดกิจกรรมการดูแลรักษา ผมรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไรน่ะหรือ? เพราะผมชอบอ่านป้ายหรือบอร์ดอะไรๆที่เขาติดไว้หน้าสถานที่แต่ละแห่งด้วยงัย ผมรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นกิจกรรมที่น่ารักดี ที่กลุ่มผู้สูงอายุได้มาร่วมทำกิจกรรมดีๆท่ามกลางธรรมชาติร่วมกับเด็กๆในชุมชน ช่างเป็นการสร้างสีสันให้กับชีวิตของผู้สูงวัย และปลูกฝังความใกล้ชิดธรรมชาติให้แก่เด็กๆได้เป็นอย่างดี นี่ทำให้สถานที่ทำนองนี้ ที่ผมได้เห็นในหลายๆแห่ง เป็นที่ที่มีเสน่ห์มากในมุมมองของผม ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวในวงกว้างก็ตาม นี่แสดงให้เห็นว่า คนในประเทศนี้ตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติกันจริงๆ
          ผมตระเวนไปอย่างนี้เรื่อยๆจนถึงเวลาบ่ายแก่ๆ น้ำมันก็ใกล้จะหมดจนจะถึงขีดแดง ณ วินาทีนั้นผมถึงได้เข้าใจว่า ทำไมเจ้าของคนเก่าจึงต้องมีถังน้ำมันสำรองเปล่าติดไว้ในรถด้วย ผมเคยเข้าใจมาตลอดว่าปั้มมีอยู่ทุกที่ตามเมืองต่างๆ แต่การใช้ทางหลวงชนบทในระยะทางที่ไม่ค่อยจะมีชุมชนให้เห็นแบบนี้ จึงทำให้ผมไม่ได้เห็นปั้มน้ำมันมาสักพักแล้ว แบตโทรศัพท์และแบตสำรองก็หมด และระบบชาร์จไฟของรถก็ใช้ไม่ได้ สิ่งนำทางเดียวที่เหลืออยู่ก็คือหนังสือแผนที่ NZ ที่ส่งผ่านมาต่อรุ่นสู่รุ่นตามผู้เป็นเจ้าของรถคันนี้ แม้จะอยู่ในสภาพที่สมบุกสมบัน แต่ก็นับว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากทีเดียวในสภาวะออฟไลน์แบบนี้
          อีกวิธีหนึ่งที่พอจะพึ่งพาเพื่อถามทางได้ ก็เห็นจะเป็นคนที่นานๆทีผมจะเห็นขับรถสวนมาสักครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม ในสภาวะที่ผมไม่แน่ใจแบบนี้ว่าน้ำมันจะหมดลงเมื่อไหร่ และจะเพียงพอต่อการไปถึงปั้มที่ผมไม่แน่ใจว่ามันจะอยู่อีกไกลไหม สิ่งหนึ่งที่ผมควรจะต้องทำก่อนก็คือ การหยุดรถเพื่อที่จะทำอาหารกิน ผมมักจะเชื่อเสมอว่าเวลาที่ความลังเลใจรุมเร้า สิ่งที่จะช่วยให้อะไรดีขึ้นหน่อยก็คือการทำตัวเองให้อิ่มท้อง เมื่อร่างกายได้พักหรือเปลี่ยนอิริยาบทบ้าง ดื่มน้ำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นสักหน่อย อะไรๆก็น่าจะดีขึ้น ช่วงนั้นฝนก็ดันมาตกปรอยๆ ฟ้าครึ้ม และมีลมแรง โชคดีที่ผมสังเกตเห็นเพิงเล็กๆคล้ายๆตู้ยามตั้งอยู่ทางด้านขวามือพอดี ผมจึงหักรถเข้าไปจอดใกล้ๆป้อมนั้น เพื่อว่าอย่างน้อยผมคงจะสามารถตั้งเตาแก๊สและต้มมาม่าได้
          รถนอนคันนี้มีไอเท็มที่มีประโยชน์อยู่อย่างครบครันจริงๆ และเตาแก๊สปิคนิคก็คือหนึ่งในนั้น มันมีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม ขนาดประมาณเตาแก๊สหนึ่งหัวที่ใช้อยู่ตามบ้าน และมีน้ำหนักประมาณสองกิโลกรัม โดยใช้แก๊สกระป๋องเป็นเชื้อเพลิง
 เมื่อมีที่ตั้งเตาเหมาะๆแล้ว ผมก็เริ่มกิจกรรมง่ายๆตามสไตล์ของผม คือต้มน้ำในปริมาณกำลังดี ดูให้พอเหมาะกับมาม่า  จากนั้นก็นำเส้นมาม่าใส่ลงไป มีไส้กรอกหรือทูน่ากระป๋องอะไรก็ใส่ลงไป เหลาฟักทองและแครอทลงไป โดยพยายามทำให้เป็นชิ้นเล็กๆเพื่อที่ว่าจะได้สุกเร็วๆ ที่ผมใช้คำว่าเหลาก็เพราะผมไม่ได้ใช้เขียงในการหั่น เนื่องจากผมขี้เกียจล้าง แต่วิธีที่ผมทำคือ ผมจะใช้มีดเล็กเฉือนผักเป็นชิ้นเล็กๆในท่าเหมือนกับการเหลาดินสอด้วยมีด ด้วยวิธีนี้สิ่งที่ผมต้องล้างเมื่อประกอบอาหารเสร็จก็มีเพียงมีดและหม้อต้ม ถ้วยชามอะไรนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ เนื่องจากผมสามารถใช้ช้อนกับส้อมตักกินจากในหม้อนั้นได้เลย
ขั้นตอนการล้างหม้อต้มมาม่าก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพียงแค่ใช้น้ำเทใส่ลงไปนิดหน่อย ใช้นิ้วถูคราบต่างๆ จากนั้นก็เทน้ำนั้นออก และเทน้ำในปริมาณเล็กน้อยใส่ลงไปอีกครั้ง คล้ายกับเป็นการล้างน้ำที่สอง หลังจากรอบนี้หม้อจะดูสะอาดมากแล้ว แต่หากยังไม่พอใจก็สามารถจะทำซ้ำอีกได้ จากนั้นจึงใช้ผ้าแห้งเช็ด หม้อก็จะกลับมาสะอาดและพร้อมใช้งานในครั้งต่อไป ด้วยวิธีนี้จะทำให้ผมประหยัดน้ำในการทำความสะอาดอุปกรณ์ทำอาหาร  
          ในระหว่างที่ผมกินไปและคิดไปแบบยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดีในเพิงนั้น ก็ปรากฎว่ามีรถของคนแถวนั้นขับผ่านมาพอดี ผมจึงได้โอกาสถามเรื่องปั้มน้ำมันที่อยู่ใกล้ๆแถวนั้น ซึ่งเขาก็แนะนำผมด้วยท่าทีที่เป็นมิตร และนี่ก็เป็นหนึ่งในหลายๆเหตุการณ์ที่ผมได้สัมผัสกับความมีน้ำใจของคนที่นี่ เขายังบอกผมด้วยว่า จริงๆแล้วปั้มอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่หรอก เขาพูดพร้อมกับชะโงกไปดูสเกลน้ำมันของรถผม และสังเกตว่าขีดยังไม่ทันจะไปทาบเส้นสีแดงเพราะฉะนั้นจึงน่าจะขับไปถึงปั้มได้โดยที่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร และเขาก็จากไปพร้อมกับขอให้ผมดูแลเรื่องความสะอาดในเพิงนั้นด้วย เพราะมันเป็นที่ที่เด็กนักเรียนในชุมชนจะออกมานั่งรอรถบัสเพื่อไปโรงเรียนในตอนเช้า ผมรับปากและกล่าวขอบคุณเขา
          เพียงแค่การสนทนาไม่นานก็ช่วยให้ผมใจชื้นขึ้นเยอะ หลังจากเก็บของต่างๆเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็รีบออกรถและมุ่งหน้าต่อไปตามคำแนะนำที่เพิ่งได้รับมา และด้วยระยะเวลาเพียงไม่ถึงยี่สิบนาที ผมก็ได้เข้ามาในเขตเมืองอีกครั้ง ได้เห็นผู้คนกวักไกว่ ได้เห็นร้านค้า เห็นปั้มน้ำมัน ซึ่งถ้ามองย้อนกลับไปในช่วงบ่ายของวันนี้ การได้มาอยู่ในเมืองแบบนี้ดูเหมือนจะทำให้เงินที่อยู่ในบัญชี(ที่ไม่ว่าจะมีมากหรือน้อยเพียงใด)สามารถแสดงประโยชน์ของมันได้ แต่ในสภาวะที่ห่างไกลผู้คนและความสะดวกสบายนั้น(พูดอีกอย่างก็คือ การที่เงินอยูห่างจากผู้ที่ต้องการมัน) การมีเงินก็อาจจะช่วยอะไรมากไม่ได้ และเมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงควรที่จะแปลเงินให้กลายเป็นสิ่งที่ผมต้องการ เพื่อที่จะเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางต่อไป
          สภาวะเฉียดฉิวกับการที่น้ำมันใกล้จะหมดสอนผมได้ดี ครั้งนี้นอกจากจะเติมน้ำมันให้เต็มถังแล้ว ผมยังเติมใส่ถังสำรองไว้อีกด้วย โดยใช้ถุงพลาสติกคลุมที่ปากถังก่อนจะหมุนฝาปิดทับลงไป เพื่อป้องกันการหกเมื่อมันต้องโคลงเคลงอยู่ในรถระหว่างการเดินทาง เมื่อผมลองดึงสายวัดน้ำมันเครื่องขึ้นมาดู ทำให้รู้ว่ามันพร่องลงไปจนเกือบถึงขีดอันตราย ผมจึงไปซื้อน้ำมันเครื่องมาเติม
ในคืนนั้น ที่นอนนอกสถานที่ครั้งแรกของผมก็คือ ที่ลานสาธารณะใกล้ห้องน้ำของชุมชน ที่มีรถไฟแล่นผ่าน เนื่องจากจุดนั้น เป็นชานชราย่อยของชุมชนด้วย แต่แม้คืนนั้นผมจะได้ยินเสียงรถไฟวิ่งผ่านอยู่บ้าง แต่ผมก็หลับไปด้วยดี อาจจะด้วยความอ่อนเพลียจากการเดินทางระหว่างวัน ผมมองว่านั่นเป็นประสบการณ์ที่ดีที่ได้นอนใกล้รางรถไฟตอนที่มีรถไฟแล่นผ่าน มันทำให้ผมนึกถึงชุมชนที่เขามีบ้านอยู่ใกล้ๆรางรถไฟ ซึ่งผมเคยสงสัยว่ามันจะไม่หนวกหูเกินไปหรือ การได้สัมผัสกับประสบการณ์เช่นนั้น ทำให้ผมรู้สึกดีที่ได้เข้าใจความรู้สึกของพวกเขามากขึ้นอีกนิดนึง 

No comments:

Post a Comment

คำนำและบทสรุป

          คำนำและบทสรุป           รูปแบบการเดินทางเป็นเรื่องราวเฉพาะบุคคล ไม่มีการเดินทางเส้นไหนจะวิเศษกว่าเส้นทางไหน เพราะทั้...