วันต่อมาผมขับรถเลาะขึ้นมา โดยมุ่งไปทางทิศเหนือเรื่อยๆ เส้นทางจะมีลักษณะเลียบชายฝั่ง สำหรับครั้งนี้มันอยู่เลียบชายฝั่งจริงๆ เนื่องจากถนนอยู่ต่ำและอยู่ใกล้ทะเลมาก มีการซ่อมถนนอยู่เป็นระยะๆเนื่องจากเพิ่งจะมีพายุเข้าเมื่อไม่นานมานี้ ถนนบางช่วงถูกน้ำเซาะพังทลาย ผู้ที่ใช้ถนนเส้นนี้จะต้องขับอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะถนนมีเพียงสองเลนที่สวนทางกัน ทางด้านซ้ายมือของผมจะเป็นทิวแมกไม้และทะเล ส่วนทางด้านขวามือจะเป็นตีนภูเขาที่มีต้นไม้ปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น
การขับรถบนถนนที่โค้งไปโค้งมาและยังอยู่ใกล้ทะเลแบบนี้ หากมองในแง่ดีก็จะเป็นเส้นทางที่สวยงามและน่าสนุกตื่นเต้นมาก อย่างน้อยในช่วงเช้าวันนั้นผมก็รู้สึกแบบนั้น และถึงแม้จะมีการตั้งแคมป์ซ่อมถนนอยู่เป็นระยะๆ แต่เนื่องจากการจัดการที่ดี จึงทำให้การจราจรมีการระบายตัวได้ดี
พวกเขาจะซ่อมถนนไปทีละเลน และจะใช้อีกเลนไว้คอยระบายรถ โดยเขาจะมีคนคอยถือป้ายให้สัญญาณบอกให้เลนของเราหยุด ในขณะที่จะให้ขบวนรถของอีกเลนได้ใช้เลนที่ว่างอยู่ไปก่อน และเมื่อฝั่งทางโน้นวิทยุมาบอกว่าสิ้นสุดขบวนรถของรอบนี้แล้ว พอรถขบวนนี้ผ่านออกไปหมด คนทางฝั่งนี้ก็จะปล่อยรถทางฝั่งเราให้ได้ใช้ถนนบ้าง สลับกันอยู่แบบนี้
วันนั้นหากจำไม่ผิด ผมขับรถไปจนถึงต้นไม้อายุ 2,000 ปีต้นหนึ่งที่อยู่ในหมู่บ้านที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของแผนที่ ต้นไม้ต้นนี้ไม่ได้สูงจนมองไม่เห็นยอดไม้เหมือนอย่างที่ผมนึกไว้ แต่กลับมีต้นแขนงแยกออกมาจากลำต้นกลางมากมาย จนดูคล้ายกับมีต้นไม้หลายต้นรวมอยู่เป็นกระจุกเดียวกัน แต่หากมองในมุมกว้างแล้ว เส้นรอบวงก็กว้างเอาการอยู่ เดินๆดูก็พอๆกับการเดินรอบบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่งได้เลย ใกล้ๆกับต้นไม้ มีบ้านเล็กๆลักษณะเหมือนศาลเจ้าตั้งอยู่ด้วย ลักษณะดูเรียบง่ายมากและก็ไม่ได้มีสิ่งของหลากสีสันเหมือนศาลเจ้าตามบ้านเรา ผมเดินดูสักพักก็รู้สึกพอ จึงขึ้นรถแล้วออกจากเมืองนั้นมา
ใจจริงก็อยากจะขับรถขึ้นไปต่อจนถึงประภาคารที่ตั้งอยู่ ณ ขอบของแผ่นดินที่อยู่ปลายสุดของภูมิภาคนี้ แต่พอได้คุยกับคนขายของในร้านค้าจึงเปลี่ยนใจ เขาบอกว่าที่โน่นไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก จริงๆนั่นก็เป็นเพียงมุมมองของเขา แต่เพราะในขณะเดียวกันผมก็ไม่อยากสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเท่าไหร่นัก เนื่องจากผมไม่เห็นปั้มใหญ่ๆแถวนี้เลย คล้ายๆกับภูมิภาคนี้เป็นเขตชนบทอย่างงัยอย่างงั้น
ผมจึงขับเลาะไปตามทะเลต่อ จนไปถึงที่ที่น่าสนใจแห่งหนึ่ง แต่ผมไม่รู้ว่าภาษาไทยจะเรียกว่าอย่างไร แต่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Wharf โดยจะเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะเป็นสะพานยื่นเข้าไปในทะเล และมีความยาวเอามากๆ ผมพอเดาคร่าวๆว่าไม่น่าจะต่ำกว่า 500 เมตร โดยที่ปลายอีกด้านหนึ่งจะไปสุดเอาดื้อๆที่พื้นที่ทะเล ผมรู้เพราะผมลองเดินเข้าไปจนสุดเส้นทาง ลมแรงได้ใจดีจริงๆ จากตรงนั้นผมสังเกตเห็นเรือประมงอยู่ไกลออกไป การอยู่ตรงนั้นคนเดียวในตอนเย็น ช่างเป็นความรู้สึกที่เป็นอิสระและเคว้งคว้างไร้ที่สิ้นสุด
ในที่สุด ผมก็ได้รู้ที่มาที่ไปของเจ้า Wharf แห่งนี้ จากบอร์ดที่อยู่บริเวณทางเข้า สรุปก็คือ สิ่งนี้สร้างขึ้นเสมือนเป็นท่าเทียบเรือ ในช่วงเวลาที่มีเรือใหญ่จากอังกฤษเข้ามาเทียบท่า เนื่องจากการเสด็จมาของเหล่าเชื้อพระวงศ์ สิ่งก่อสร้างนี้ได้ผ่านการบูรณะหลายครั้งก่อนที่มันจะเป็นดังเช่นทุกวันนี้ ผมเห็นภาพคนงานที่เป็นกลุ่มบุกเบิกสิ่งก่อสร้างนี้ที่เป็นภาพขาวดำ ก็ทำให้เกิดความรู้สึกชื่นชมในความอุตสาหะของคนสมัยนั้น ที่ใช้เวลาและแรงงานในการสร้างสิ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวของพวกเขาเองหลายเท่านี้ขึ้นมา
แม้ว่าเวลานั้นจะเป็นเวลาที่เกือบจะเย็นแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้อยู่ค้างคืนที่นั่น เพราะผมรู้สึกว่ามันดูเงียบและวังเวงเกินไป แม้ว่าบริเวณนั้นจะมีห้องน้ำอยู่ใกล้ๆตามสเป็คก็เถอะ อย่างไรก็ตาม ผมได้ที่สวยๆตอนขับออกจากหมู่บ้านนั้นมา ที่แห่งนี้เป็นพื้นที่โล่งริมชายทะเล ที่ถูกจัดไว้ให้นักท่องเที่ยวได้มานั่งเล่น ปิคนิค และชื่นชมกับบรรยากาศของทะเล มีการวางม้านั่งให้พร้อมสรรพโดยมีระยะห่างกันพอสมควร มีห้องน้ำแบบไม่ต้องใช้น้ำราดไว้หนึ่งห้อง ซึ่งคุณอาจจะสงสัยว่าแล้วมันจะทำงานอย่างไร คำตอบก็คือ ของฝากของทุกคนจะล่วงลงสู่หลุมลึกๆ ซึ่งลึกแค่ไหนผมก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะมันดูมืดเหลือเกินเมื่อมองลงไป และคนที่นี่เค้าก็ใช้ทิชชู่เป็นปกติอยู่แล้ว (ไอสายฉีดแบบบ้านเรา ผมมาอยู่ที่นี่ตั้งนานก็ยังไม่เคยได้เห็นสักกะที) เป็นอันว่าสถานที่แห่งนี้เหมาะที่จะเป็นที่พักแรมมากๆสำหรับคืนนี้
มีรถนักท่องเที่ยวคันหนึ่งขับเข้ามาดูเพื่อจะจอดรถค้างแรมเช่นกัน แต่แล้วพวกเขาก็เปลี่ยนใจ อย่างไรก็ตาม รถของพวกเขาดูสุดยอดมาก มันเป็นรถบัสโรงเรียนที่ถูกนำมาปรับแต่งใหม่ให้สามารถพักค้างแรมได้เสมือนเป็นรถบ้านนั่นแหละ ผมเห็นแล้วนี่รู้สึกอย่างทึ่งเลย
ผมชอบไอเดียของทางการที่นี่มาก ที่ได้ปรับที่ทางใกล้ธรรมชาติแบบนี้ให้กลายเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจที่มีคุณค่าทางจิตใจ เพราะจากวิวโดยรอบที่ผมกำลังดื่มด่ำอยู่นั้น ผมก็ไม่แน่ใจว่าผมจะได้เห็นอะไรแบบนี้ที่ประเทศไทยโดยที่ไม่ต้องจ่ายแพงไหม ที่สำคัญคือความสงบและความเป็นส่วนตัว ที่ทำให้รู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติอย่างแท้จริง
No comments:
Post a Comment