งานดายหญ้าในแปลงฟักทองไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมาก รูปแบบของงานก็ตรงกับชื่อเลย คือการกำจัดหญ้าหรือวัชพืชอื่นๆในแปลงฟักทองที่กำลังต้นเล็กอยู่ ซึ่งมีความสูงประมาณ 20 ซม อุปกรณ์ที่ใช้ก็มีลักษณะคล้ายหัวของเครื่องดูดฝุ่นที่มีด้ามจับ ผู้ใช้จะต้องไถหัวนั่นไปกับพื้น โดยหัวจะมีลักษณะเป็นเหล็กแบนคล้ายจอบ คนทำงานจะต้องเดินถือไม้และไถเอาวัชพืชรอบๆต้นฟักทองน้อยออก แถวฟักทองจะมีลักษณะเป็นแถวยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 150-200 ม ระหว่างต้นมีระยะห่างประมาณสองฟุต ระหว่างแถวประมาณ 1 เมตร ความซับซ้อนของงานก็มีเพียงเท่านี้ แต่ความท้าทายคือชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน คือ 8-10 ชั่วโมงต่อวัน เป็นต้นว่าอาจจะได้เริ่มงานประมาณเจ็ดโมงครึ่งหรือแปดโมงเช้าและไปสิ้นสุดตอนห้าโมงเย็นหรืออาจจะถึงหนึ่งทุ่มก็มี พอผมบอกว่าหนึ่งทุ่มก็อย่าเพิ่งตกใจไปนะครับ เพราะฤดูการดายหญ้าฟักทองนี้จะมีในช่วงฤดูร้อนของที่นี่ ซึ่งในฤดูร้อนของนิวซีแลนด์จะมีความพิเศษคือ พระอาทิตย์จะขึ้นเร็วและตกช้า ในบางช่วงของฤดูร้อน ในเวลาสองทุ่มจะมีบรรยากาศเหมือนตอนหกโมงเย็น นั่นคือฟ้าจะเพิ่งเริ่มสลัวๆ สภาวะที่เกิดขึ้นเช่นนี้น่าจะเป็นผลมาจากจุดที่ตั้งของประเทศนิวซีแลนด์ที่อยู่ในโซนใกล้ขั้วโลกใต้ ผนวกกับแนวแกนโลกที่เอียงและตำแหน่งการโคจรของโลกในเวลานั้นของปี ซึ่งผมก็มองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าตื้นเต้น เป็นเรื่องแปลกที่มีเหตุผลรองรับ
งั้นผมจะขอย้อนไปที่เรื่องงานต่อนะครับ แม้ชั่วโมงการทำงานจะยาวนานแต่จะมีช่วงเวลาให้พักประมาณ 15 นาที ในทุกๆสองชั่วโมงของการทำงาน และจะมีการพักกลางวันประมาณครึ่งชั่วโมง นี่เป็นกฏหมายแรงงานของนิวซีแลนด์ในขณะนั้น กล่าวคือถ้าหากเราเริ่มงานตอนแปดโมงเช้า ในเวลาสิบโมงจะมีเวลาให้พัก 15 นาที และจะไปพักอีกทีตอนเที่ยงหรือเที่ยงครึ่ง ซึ่งแล้วแต่จะตกลงกัน และจะมีตอนบ่ายสามโมงอีกสิบห้านาที และถ้าหากมีผู้สมัครใจทำงานไปจนถึงหนึ่งทุ่มดังที่ผมได้อธิบายไปแล้วเกี่ยวกับฤดูร้อนก็จะมีเวลาให้พักอีกในตอนห้าโมงเย็นอีก 15 นาทีเช่นกัน สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือตัวอย่างคร่าวๆนะคับ ในความเป็นจริงอาจมีการปรับบ้างตามความสมควรของสถานการณ์และข้อตกลงร่วมของทีมและผู้ว่าจ้าง ยกตัวอย่างเช่นบางงานอาจจะเริ่มตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าแต่ก็จะให้เริ่มพักครั้งแรกในตอน 10 โมง คุณก็อาจจะคิดว่า นั่นมันสามชั่วโมงไปแล้วนะ แต่นั่นก็เพราะเหตุผลที่ผมกล่าวไปแล้วแหละครับ ทุกอย่างสามารถปรับได้ตามสถานการณ์และข้อตกลง ซึ่งหากจะมองในอีกมุมหนึ่ง ในช่วงเวลาตอนเช้าของวันพลังงานของคนยังคงกระปี้กระเปร่าและสดชื่น การยื้อเวลาไปอีกหนึ่งชั่วโมงก็อาจจะไม่ส่งผลต่อสมรรถนะการทำงานมากนัก และที่สำคัญก็คือผู้ทำงานยินดีที่จะเริ่มงานเช้าเพราะคิดว่าอย่างน้อยก็ได้ออกมาทำงานแล้ว การได้มีโอกาสทำงานเพิ่มก็จะทำให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น โดยที่ค่าน้ำมันรถก็ยังคงเสียเท่าเดิมคือขาไปและขากลับ ชุดที่ใส่วันนั้นก็ต้องซักครั้งเดียวเหมือนกัน ดังนั้นการได้ชั่วโมงการทำงานเพิ่มจึงเป็นเรื่องที่ดีสำหรับพวกเขาส่วนใหญ่ ในขณะที่เจ้าของงานก็ต้องการให้ผลงานที่เกิดขึ้นต่อวันเกิดขึ้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เนื่องจากงานด้านการเกษตรมีความสัมพันธ์กับดินฟ้าอากาศและช่วงเวลา จึงมีความจำเป็นที่งานจะต้องเสร็จให้ทันช่วงเวลา ในเมื่อผู้จ้างและผู้ถูกจ้างต่างคิดว่าตนเองได้ผลประโยชน์จากข้อตกลงดังกล่าว แม้มันจะขัดกับข้อกฏหมายไปบ้างก็ตาม การปรับเพื่อความเหมาะสมจึงเกิดขึ้น
งานส่วนใหญ่จะเป็นไปในลักษณะการจ้างแรงงานกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมบางอย่างที่เอื้อต่อการเติบโตของพืช หรือในกระบวนการผลิตที่เครื่องจักรขนาดใหญ่หรือเทคโนโลยีในปัจจุบันไม่สามารถทำได้ ด้วยเหตุผลของสภาพพื้นที่ และลักษณะงานที่น่าจะเหมาะสมกว่าในการเลือกใช้ผู้ปฏิบัติงานที่มีชีวิต ซึ่งถ้าจะมองในมุมมองของคนแล้ว งานโดยทั่วไปในแต่ละขั้นตอนอาจไม่ได้มีความสลับซับซ้อนอะไรเลย เป็นต้นว่า อาจเป็นการเก็บผลไม้ไปทีละต้นๆ โดยใช้บันไดอลูมิเนียมในการขึ้นเก็บ การเด็ดลูกอ่อนของไม้ผลอย่างแอปเปิลออกบ้าง และเหลือบางลูกไว้ในปริมาณและระยะห่างที่เหมาะสม เพื่อการเติบโตที่เต็มที่ของผลผลิตที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การดายหญ้าในแปลงฟักทองดังที่ได้กล่าวไปแล้ว การก้มเก็บสตอเบอรี่ การเด็ดใบองุ่นออกบ้างเพื่อให้พวงองุ่นได้รับแสงแดด ซึ่งจะช่วยในกระบวนการสร้างสีที่สมบูรณ์ จะเห็นได้ว่างานที่ได้กล่าวมานี้หรืองานประเภทอื่นที่ยังไม่ได้กล่าวถึงอีกมากมาย มักจะเป็นงานที่ไม่ได้มีขั้นตอนที่สลับซับซ้อนหรือต้องใช้เวลาวิเคราะห์หรือตัดสินใจมากมายนัก
ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งระหว่างที่ผมกำลังทำงานอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งผมก็จำไม่ได้ว่าตอนไหน แต่ความคิดที่จะกล่าวไปนี้ยังคงชัดเจนในความทรงจำของผม ความคิดนั้นบอกว่าแรงงานของมนุษย์ที่กำลังทำงานอยู่ในลักษณะเดียวกันไปเรื่อยๆ เพื่อให้งานในพื้นที่ขนาดใหญ่ในสวนต่างๆสัมฤทธิ์ผลนั้น จริงๆแล้วก็คือเครื่องจักรที่มีชีวิต ที่กำลังทำหน้าที่ของตัวเองในโรงงานที่ไม่มีหลังคาที่เรียกว่าสวนนั่นเอง ผมเคยรับรู้ถึงสิ่งนี้และเคยมีอคติต่อสิ่งที่เกิดขึ้นต่อความน่าเศร้าของชีวิตแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน บางคนต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตทำงานประเภทนี้ซ้ำไปซ้ำมา งานที่มีชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานและดูเป็นงานใช้แรงที่ดูเหนื่อย
แต่อันที่จริงแล้ว หลังจากนั้นไม่นานนัก ผมก็เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้คือความเป็นไปของสังคมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของมนุษย์ ผู้ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็อยากจะเลือกวิธีที่จะใช้เวลาบนโลกนี้อย่างสบายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งสิ่งที่จะมาช่วยตอบโจทย์นี้ได้อย่างสมบูรณ์ก็คือการใช้แรงงานของผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง นี่ไม่ใช่ความผิดของใครในโลกยุคปัจจุบัน ที่ประชากรส่วนใหญ่ในโลกมีสิทธิเสรีภาพในการที่จะใช้เวลาของตัวเอง ยุคของแรงงานทาสที่เกิดขึ้นมาก็เลือกอะไรไม่ได้ได้หมดลงไปแล้ว แต่ด้วยธรรมชาติของมนุษย์ที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น ความเป็นทาสจะยังคงเป็นสิ่งที่จะอยู่ต่อไปในสังคม จะต่างกันก็เพียง ในยุคนี้ผู้คนมีสิทธิ์ที่จะเลือกที่จะเป็นอิสระหรือจะยอมด้วยความสมัครใจก็เท่านั้น
สิ่งสำคัญคือการสามารถตระหนักรู้ถึงสิ่งนี้ได้หรือไม่เท่านั้น ในโลกของอินเตอร์เน็ตที่การศึกษาและแนวคิดที่มีประโยชน์ไม่ได้ถูกจำกัดไว้ในที่เฉพาะอีกต่อไป ทุกคนมีโอกาสที่จะเรียนรู้สู่แนวทางที่จะเป็นอิสระ แต่สิ่งสำคัญก่อนการแสวงหาแนวทางเหล่านั้น จะเริ่มต้นมาจากการตระหนักรู้ถึงคุณค่าของเวลาที่มีอยู่ของแต่ละคนบนโลกใบนี้ สมบัติที่มีเพียงตัวคุณเองเท่านั้นที่มีสิทธิ์ที่จะบริหารและนำไปใช้
สิ่งนี้อาจมีมากบ้างน้อยบ้างตามชะตาชีวิตของแต่ละคน ซึ่งจริงๆแล้วผมก็ไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องของโชคชะตานักหรอก ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของกฏแห่งการกระทำมากกว่า (แม้ว่าอาจจะดูเป็นเรื่องยากที่จะสามารถเห็นภาพรวม ภายใต้ประสาทสัมผัสของมนุษย์ก็เถอะ แต่หากมองในตรรกะของเหตุและผลก็น่าจะพออธิบายได้) ประเด็นก็คือ เวลาเป็นสิ่งที่คุณสามารถนำมาแลกเป็นเงินได้และแม้ว่าคุณจะสามารถนำเงินมาซื้อเวลาโดยทางอ้อมได้ แต่เมื่อถึงวินาทีที่เราต้องจากโลกนี้ไป ก็ไม่มีใครสามารถติดสินบนความเป็นไปของธรรมชาติได้เลย (คุณรู้ใช่ไหมว่าผมกำลังหมายถึงอะไร) เรากำลังเอาเวลาที่เป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของแต่ละชีวิตแลกกับอะไรอยู่? อะไรคือสิ่งสำคัญที่คุณจะยอมเอาเวลาในชีวิตของคุณแลกกับมันมา?
แหม่ ว่าไปซะยาว แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาจากการตกผลึกในหัวของผมจากประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามา หวังว่ามันคงไม่ได้ทำให้การหลุดจากเรื่องการเดินทางใน NZ ดูน่ารำคาญจนเกินไป งั้นผมจะขอเล่าต่อถึงวิธีที่ผมใช้เพื่อให้การทำงานไม่ดูน่าเบื่อเกินไปนัก เมื่อต้องทำงานกลางแจ้งในชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน
ถ้าเป็นวันที่อารมณ์ดีและแจ่มใส ผมก็มักจะคุยกับคนใกล้ๆที่ผมทำงานด้วย ถามโน่นถามนี่และเป็นผู้ฟังที่ดี ถ้าเค้าถามเรา เราก็เล่าของเราบ้าง แต่เรื่องของคำตอบมันก็แล้วแต่คุณ ว่าคุณจะสะดวกที่จะให้มันลึกแค่ไหน ส่วนใหญ่ผมมักจะเป็นฝ่ายถามและฟังมากกว่า แต่แน่นอนว่าการคุยกันมันก็ต้องมีวันเลิกราเหมือนงานเลี้ยง อีกวิธีหนึ่งที่ผมมักจะใช้ก็คือหาอะไรที่เป็น offline มาฟัง โดยผมจะโหลดเก็บไว้ในโทรศัพท์ อันนี้ก็แล้วแต่รสนิยมของแต่ละคน แต่ที่อยากจะแนะนำก็คือหากสามารถทำให้เป็น offline ได้จะทำให้ประหยัดแบตตารี่มากกว่า นอกจากนี้ก็ไม่ควรเสียบหูฟังนานจนเกินไป ควรสลับกับการพูดคุยกับคนอื่นด้วยจะดีกว่า เนื่องจากเรามีแค่สองหูที่ต้องใช้ทั้งชีวิต คงไม่สนุกแน่ถ้าต้องได้ยินอะไรไม่ชัดเนื่องจากเมื่อก่อนเราใช้มันอย่างหักโหมเกินไป
Audio ที่ผมชอบฟังถ้าแบ่งตามประเภทก็จะแบ่งได้ 3 แบบ ได้แก่ อย่างที่หนึ่ง เพลงหรือดนตรีบันเลง ประเภทนี้เอาไว้ผ่อนคลาย บางทีเอาไว้บิ้วอารมณ์เพื่อสู้กับการทำงานกลางแจ้งแดดร้อนๆ พอได้เสียบหูฟัง ใส่หมวกใส่แว่น แล้วก็มีเพลงที่ชอบกรอกหู บางทีมันก็เหมือนได้อยู่อีกโลกหนึ่ง ต่อให้แดดร้อนเพียงใด บางครั้งก็ช่วยให้สามารถทำงานต่อไปได้อย่างอารมณ์ดี
อย่างที่สองจะเป็น Audio ภาษาต่างประเทศที่ผมอยากพัฒนา ผมจะใช้วิธีโหลดมาจากยูทูปซึ่งจะมีแอปบางตัวสามารถรองรับงานนี้ได้ วิธีนี้ผมจะไว้ฟังตอนที่มีอารมณ์นิ่งๆกลางๆ พอจะเรียนรู้ได้ เอาเป็นว่าในช่วงเวลาที่ไม่ได้รู้สึกเซ็งหรือทรมาน แต่ก็ไม่ใช่ว่าพอเปิดของพวกนี้แล้วสมองของผมจะเรียนรู้ได้ทันทีหรอกนะคับ ผมแค่ต้องการเพิ่มชั่วโมงบินด้วยการฟังซ้ำไปซ้ำมา จะมีประโยชน์ที่สามารถเห็นได้ทันทีหรือไม่นั้นไม่ใช่ประเด็น การเรียนภาษาเป็นเรื่องของการทำซ้ำและเก็บชั่วโมงบินไปเรื่อยๆ บางครั้งเหมือนเราฟังแบบไม่ใส่ใจแต่สมองก็จะเก็บการทำซ้ำเหล่านั้นไว้ ซึ่งจะช่วยให้เวลาที่เราตั้งใจศึกษามันโดยตรงจริงๆจะง่ายขึ้นเพราะอาจจะมีตะกอนเก่าๆเหลืออยู่บ้าง อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะครับ แต่ผมก็เคยได้ยินคนพูดอะไรทำนองนี้มาบ้างเหมือนกัน และอย่างที่สามก็คือการฟังธรรมะ ฟังสัจธรรมของหลวงพ่อที่ผมนับถือ การฟังสิ่งนี้จะทำให้ผมรู้สึกปล่อยวางและมีสติตระหนักรู้ว่าผมไม่ควรจริงจังเกินไปในสิ่งชั่วคราวที่มันยึดไม่ได้อยู่แล้ว การฟังประเภทนี้จะช่วยลดความบ้าระห่ำของผมลง และสามารถทำงานต่อไปได้อย่างผ่อนคลายมากขึ้นโดยไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์โลภภายในใจจนเกินไป ที่อาจจะทำให้เสียสุขภาพจิตแล้วไปกระทบถึงร่างกาย ที่ผมกล้าพูดแบบนี้ก็เพราะ ผมเคยมีประสบการณ์จริงจังเกินเหตุ ซึ่งทุกครั้งที่มันได้ผ่านไป แล้วผมลองมองย้อนกลับไปก็มักพบว่า มันไม่เห็นจะคุ้มกันเลยนะ ทำไมตอนนั้นเราต้องจริงจังและเครียดถึงขนาดนั้น ตอนนั้นนายมันหมกหมุ่นเกินไปนะ ซึ่งผมก็มักจะมองย้อนกลับไปแบบขำๆในความหลงจริงจังของตัวเอง
และอีกสิ่งหนึ่งที่นอกเหนือจากกิจกรรมที่ได้กล่าวไปแล้วก็คือ การดื่มด่ำกับธรรมชาติรอบตัวไปกับภาพของใบไม้ ต้นไม้ และภูเขา บางทีที่ที่ผมไปทำงานก็อาจจะโชคดีที่ได้เจอกับลำธารด้วย ได้ยินเสียงน้ำไหล เสียงนกร้อง ที่ต่างจากเสียงนกที่ไทย แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นเสียงจากธรรมชาติเหมือนกัน สิ่งรอบตัวแบบนี้กับการมองดูเช่นสิ่งเหล่านี้เป็นงานศิลปะที่มีชีวิต ทำให้ผมไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นมันเลวร้ายจนเกินไป หากมองอีกมุมหนึ่งมันก็อาจจะคล้ายๆกับสารเสพติดกล่อมประสาทที่ทำให้ผมรู้สึกดีได้บ้าง สิ่งเสพติดที่ทำให้ผมรู้สึกได้ว่าโลกนี้มันน่าอยู่และไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ใครเขาบอกกัน ทั้งหมดทั้งมวลมันอยู่ที่วิธีที่จะเลือกมอง คุณล่ะคิดอย่างไร?
No comments:
Post a Comment