ผมได้ขับรถมาจนถึงด้านตะวันออกของแผนที่แล้ว ตอนนี้ในใจของผมเริ่มรู้สึกชินชากับกับบรรยากาศรอบตัว แม้ว่าทะเลจะยังคงสวยงามเช่นเคย และผมก็รู้สึกขอบคุณกับประสบการณ์การเดินทางในครั้งนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ณ เวลานี้ ผมกลับไม่มีความรู้สึกว่าอยากจะไปเห็นอะไรที่ไหนอีกแล้ว

พอดีที่อีกใจหนึ่งมาทำให้ฉุกคิดได้ว่า ยังมีเวลาเหลืออยู่อีกสามสัปดาห์กว่าวีซ่าจะหมด ถึงแม้ว่าในตอนแรกผมตั้งใจจะขับรถเที่ยวไปเรื่อยๆ และรอจนถึงวันใกล้ๆจะบิน แต่พอมานึกว่า อีกเป้าหมายหนึ่งของการมาที่นี่นอกจากการเดินทางท่องเที่ยว (ที่นายได้ทำไปแล้ว) ก็คือการเก็บเงิน และเวลาอีกสามสัปดาห์นี้ ถ้าหากจะลองติดต่อเจ้านายเก่าก็น่าจะพอมีงานให้ทำได้บ้าง
ผมจึงติดต่อกลับไปหาน้าคนไทยที่ผมเจอครั้งแรกที่ Napier และบอกว่าจะไปหา ผมใช้เวลาอีกประมาณสองวันเพื่อเดินทางกลับไปเมือง Napier โดยพักค้างหนึ่งคืนที่ชายทะเลสักแห่ง และอีกคืนที่ Gisborne ด้วยการจอดรถไว้ที่มุมมืดที่ไม่ห่างจากห้องน้ำสาธารณะในตัวเมืองเท่าไหร่นัก
แม้ว่าการขับรถกลับ Napier จะไม่ได้อยู่ในแผนตั้งแต่แรก แต่ความรู้สึกว่าผมกำลังขับรถกลับไปที่ใดสักแห่งหนึ่งที่ผมรู้สึกคุ้นเคยก็เป็นความรู้สึกที่ดีทีเดียว หลังจากที่ได้อยู่อย่างเร่ร่อน ย้ายที่ไปมาอยู่สามสัปดาห์บนรถ พอเริ่มเข้าใกล้ Napier ผมก็เพิ่งจะรู้ว่า ทิวทัศน์ของเส้นทางเข้าเมืองในทิศนี้ ที่ผมเพิ่งจะเคยได้ใช้เป็นครั้งแรกนั้น ดูตระการตากว่าภาพความทรงจำที่ผมเคยมีกับเมืองนี้เป็นอย่างมาก วิวทะเลดูกว้างใหญ่ไพศาล หรืออาจจะเป็นเพราะท้องฟ้าที่สว่างสดใสของวันนั้นด้วย ที่ช่วยให้การขับรถกลับบ้านในวันนี้ดูสดใสเป็นพิเศษ
ผมจอดรถแวะซื้อส้มที่สวนแห่งหนึ่ง มีส้มใส่กล่องอยู่หลากหลายขนาดด้วยกัน พร้อมกับมีป้ายราคาระบุไว้อย่างชัดเจนว่าส้มแต่ละกล่องราคาเท่าไหร่ แต่ความน่าประทับใจของร้านนี้อยู่ตรงที่ไม่มีคนขาย มีเพียงกล่องที่ยึดติดไว้กับผนังซึ่งไว้ใช้สำหรับหยอดเงินตั้งอยู่ โดยมีข้อความเขียนไว้ว่า “กรุณานำเงินใส่กล่องให้พอดีกับราคาส้ม เนื่องจากเราไม่สามารถทอนได้” ผมเห็นแล้วก็อดรู้สึกชื่นชมความคิดของเจ้าของสวนและความน่าอยู่ของประเทศนี้ไม่ได้ ที่ทำให้เขากล้าพอที่จะใช้วิธีนี้ และแล้วผมก็ได้ส้มกล่องใหญ่มากล่องหนึ่ง ซึ่งเป็นผลไม้โปรดของผมเลยล่ะ
ผมมาถึงบ้านน้าในช่วงสายของวันนั้น น้ายังดูสุขภาพดีเหมือนเดิม ผมอาศัยอยู่บ้านน้าประมาณหนึ่งสัปดาห์ และได้งานกับนายหน้าคนเดิมที่ผมเคยทำงานด้วย งานในครั้งนี้เป็นงานใหม่ที่ผมยังไม่เคยทำมาก่อน เป็นงานตอกตะปูกับเสา ที่จะเอาไว้ใช้เกี่ยวลวดในสวนองุ่น พูดง่ายๆก็คือ เป็นการบุกเบิกพื้นที่ตั้งแต่ช่วงที่ต้นองุ่นยังเล็ก การได้มาทำงานนี้ทำให้ได้มุมมองที่แปลกไปจากการที่เคยได้เห็นต้นองุ่นที่ต้นใหญ่แล้ว เพราะช่วยให้เห็นภาพว่าสวนองุ่นในช่วงเริ่มต้นนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร
หลังจากได้ที่ทำงานเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว ผมจึงย้ายที่อยู่กลับไปที่ Hastings อีกครั้งด้วยเหตุผลของระยะทางที่ใกล้กว่า ที่จะช่วยประหยัดค่าน้ำมันเช่นเคย แต่ในครั้งนี้ผมเลือกที่จะนอนในรถแทนการมีเตียงส่วนตัว เพราะหลังจากประสบการณ์การเดินทางค้างแรมในรถมาแล้ว ผมรู้สึกว่าวิธีนี้ก็สะดวกดี
ผมมีโอกาสได้เจอเด็ก Working Holiday รุ่นใหม่ๆจากยุโรปที่เพิ่งจะมาถึง NZ ได้ไม่นาน(เนื่องจากผมเป็นเด็กรุ่นเก่าที่อยู่ในช่วงต่ออายุวีซ่า) ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงช่วงแรกๆที่ผมเพิ่งจะมาถึง NZ ในเวลาประมาณเดียวกันนี้เมื่อปีก่อนที่ผมเพิ่งจะเดินทางมาเข้าพักที่นี่เป็นครั้งแรก พวกเขาดูประหลาดใจที่เห็นผมนอนในรถ ซึ่งก็เป็นความรู้สึกคล้ายๆกับตอนที่ผมเพิ่งเห็นคนทำแบบนี้เมื่อก่อนนั่นแหละ ผมเคยคิดว่ามันน่าจะเป็นการใช้ชีวิตที่รันทดและอึดอัดมาก ที่ต้องนอนในรถแคบๆแบบนั้นทุกวัน แต่พอผมได้มาสัมผัสจริงๆแล้ว กลับเป็นความรู้สึกที่ดีมาก แม้จะมีพื้นที่ไม่มากแต่ก็มีความเป็นส่วนตัวสูง และสามารถเปลี่ยนวิวทิวทัศน์ในการพักผ่อนได้หลากหลายที่ ทั้งค่าเช่าในการใช้สาธารณูประโภคภายในแบคแพคเกอร์จะถูกลงอีกกว่า 30% ผมบอกได้เลยว่า หากผมได้มีโอกาสทำอะไรแบบนี้ใน NZ อีกครั้ง ผมคงต้องรีบหารถที่นอนได้แบบนี้อย่างเร็วเลยล่ะ แต่ผมก็ไม่แนะนำสำหรับที่ที่มีสภาพอากาศร้อนนะ เพราะผมไม่แน่ใจว่าจะได้ความรู้สึกแบบเดียวกันไหม
No comments:
Post a Comment