17. เกาะใต้ (ตอนที่ 4) Franz Josef Town







           ผมเดินทางไป Franz Josef ต่อในเช้าวันนั้นตามคำล่ำลือเรื่องธารน้ำแข็ง เพราะผมเองก็อยากจะมีโอกาสได้เห็นเหมือนกัน ผมยังคงใช้บริการรสบัสของประเทศนี้ด้วยการจองผ่านอินเตอร์เน็ตตามเคย ซึ่งนับว่าเป็นบริการที่สะดวกและมีประสิทธิภาพมาก ในประเทศที่มีคนไม่มากเช่นนี้








          เมื่อมาถึงที่นี่ผมก็ยังคงมองหาที่พักของ YHA เช่นเคย เนื่องจากเป็นที่ที่ผมรู้สึกว่าห้องพักของเครือนี้สะอาดสะอ้าน และสามารถออกแบบสถานที่ได้ดี แต่ก็ไม่ใช่ทุกที่หรอกครับที่ทำได้ดีเรื่องวิวทิวทัศน์ แต่ถ้าเป็นเรื่องความสะอาดและความเป็นมืออาชีพผมรู้สึกว่าโรงแรมในเครือนี้มีมาตรฐานแบบเดียวกัน
        ในเมืองเล็กๆขนาดกำลังน่ารักของที่นี่ ก็มีสถานที่น่าตื่นเต้น(สำหรับผม)อยู่มากมายหลายแห่งเลยล่ะ เป็นต้นว่า ช่วงบ่ายแก่ๆในวันที่ผมมาถึงผมก็เดินสะพายกระเป๋าที่ใส่น้ำไว้ขวดหนึ่ง ผลไม้อย่างแอบเปิ้ลหรือส้มแล้วก็พวกขนมช็อกโกแลต พร้อมกับมุ่งหน้าเดินทางสำรวจรอบๆเมือง ใช้อะไรนำทางนะหรือ? คำตอบคือป้ายที่เห็นตามทางและความรู้สึก

 บ่ายวันนั้นผมเจอทางเดินเล่นเข้าป่าที่อยู่หลังหมู่บ้าน ตอนแรกก็นึกว่าเป็นทางสั้นๆไว้สำหรับให้คนจูงหมาเดินเล่น แต่พอเดินไปเรื่อยๆทางก็ค่อยๆทอดตัวยาวไปเรื่อยๆเช่นกัน เป็นทางหินกรวดขนาดประมาณพอให้รถยนต์วิ่งได้หนึ่งคัน โดยทางด้านขวามือเป็นเนินเขาในขณะที่ด้านซ้ายเป็นลำธารขนาดใหญ่ที่สามารถได้ยินเสียงน้ำไหลซู่ซ่าอย่างชัดเจน

พอเดินมาได้เกือบครึ่งชั่วโมงผมก็มาสุดทาง ที่นี่ผมเจออุโมงค์ขนาดเล็กอยู่แห่งหนึ่ง ขนาดกว้างประมาณสองเมตรและสูงประมาณสองเมตรครึ่ง พอสังเกตที่พื้นก็พบว่ามีรางรถไฟเหล็กอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีน้ำขังคล้ายสายน้ำท่วมอยู่ตื้นๆประมาณข้อเท้า แต่ที่น่าพิศวงก็คือ พอได้ลองมองเข้าไปข้างใน มันดูมืดมาก แต่ด้วยความที่อีกใจหนึ่งที่อยากจะรู้ว่าข้างในนั้นจะเป็นอย่างไรนั้นมีน้ำหนักมากกว่า ผมจึงไม่ปล่อยให้ตัวเองลังเลมากไปกว่านั้น และตอนนั้นผมก็ใส่รองเท้าแตะนิ้วคีบอยู่แล้วด้วย ทำให้ไม่ต้องห่วงเรื่องที่ต้องลุยน้ำ ผมจึงเริ่มออกก้าวเข้าไปในอุโมงค์





    
         อุโมงค์นี้มืดถึงมืดมาก ผมแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นทุกก้าวที่ได้ก้าวเข้าไป เสียงน้ำที่เท้าตอนก้าวเดินก็ยิ่งเพิ่มบรรยากาศได้เป็นอย่างดี ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่องไฟแล้วก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ มือก็สัมผัสกับผนังถ้ำ พร้อมกับตื่นตาตื่นใจไปกับภาพที่ไม่เคยเห็นตรงหน้า พอเดินไปได้สักพัก ผมก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่มาจากอีกด้านหนึ่งของอุโมงค์ มันให้ความรู้สึกที่ดีจริงๆ ในช่วงเวลาที่แม้ผมจะหันหลังกลับไปก็เจอแต่ความมืดมาสักพัก แต่ตอนนี้ก็ใจชื้นขึ้นหน่อยแล้วเมื่อได้เห็นแสงสว่างอยู่ตรงหน้า จนทำให้นึกถึงบทเพลงเพื่อความหวังของใครก็ตามที่ผมเคยได้ยิน ที่พูดถึงแสงจากอีกด้านหนึ่งของอุโมงค์ การเห็นแสงนั้นอาจทำให้ใครก็ตามที่เคยมาอยู่ในอุโมงค์นี้ รู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น  เพราะอย่างน้อยเราก็รับรู้ได้ถึงจุดสิ้นสุดของมัน

แต่พอผมเดินใกล้เข้าไปจนเกือบจะถึงทางออก ผมก็ได้เห็นสิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นที่นี่ มันคือไม่สิ ต้องเรียกว่าพวกมันจึงจะถูก พวกมันคือหนอนเรืองแสงที่เกาะอยู่มากมายตามผนังอุโมงค์ ผมรีบปิดไฟฉายและพวกมันก็ดูเด่นขึ้นทันที แต่เชื่อไหมว่าพอเปิดไฟอีกครั้งเพื่อต้องการที่จะมองเห็นตัวมันใกล้ๆ เมื่อมองพร้อมกับแสงสว่าง พวกมันก็เป็นเพียงหนอนตัวเล็กๆที่ลำตัวใสก็เท่านั้นเอง แต่สิ่งดีของเรื่องนี้ก็คือ ผมไม่จำเป็นต้องเสียตังออกทริปเพื่อไปเจอหนอนเรืองแสงในถ้ำตามที่มีหลายบริษัทนำเที่ยวโฆษณาในโบวชัวที่โรงแรม และผมก็ไม่เคยนึกเลยว่าจะได้มาเจอพวกมันตามธรรมชาติที่นี่

        สุดปลายอุโมงค์ออกไปเป็นระเบียงไม้ที่ยื่นออกไปจากไหล่เขาที่เต็มไปด้วยป่าไม้ ผมสามารถได้ยินเสียงน้ำไหลจากลำธารขนาดใหญ่ ที่อยู่ห่างออกไปถัดจากหมู่แมกไม้ไม่ไกลนัก แม้ในตอนนั้นนิ้วโป้งข้างซ้ายของผมจะเจ็บแต่ใจก็อดดันทุรังหาเรื่องซนไม่ได้ ผมเกิดนึกอยากปีนออกนอกระเบียงแล้วจะได้ค่อยๆกระโดดไปตามก้อนหินต่างๆ เพื่อที่จะได้ไปเห็นลำธารที่ดูเหมือนจะเป็นน้ำตกในแนวสามสิบองศา(เรียกแบบนี้น่าจะเหมาะกว่า)

วิวทิวทัศน์ที่อยู่ถัดออกไปจากหมู่แมกไม้นั้น ช่างยั่วยวนผมซะเหลือเกิน หลังจากพิจารณาดูชั้นหินและซี่ไม้ระเบียงที่จะต้องเหยียบไปทีละสเต็ปแล้ว ทั้งประเมินระยะกระโดดและการก้าวเป็นที่เสร็จสิ้นทั้งขาไปและขากลับ ที่เหลือก็แค่เริ่มขยับตัวและค่อยๆเคลื่อนที่ไปทีละก้าว และด้วยความระมัดระวังในกิจกรรมที่ดูเสี่ยง ในที่สุดผมก็ได้มานั่งใกล้ธารน้ำตก ดื่มด่ำกับวิวทิวทัศน์รอบตัวพร้อมกับเสียงอันดังกึกก้องของสายน้ำ

ผมมีโอกาสได้เห็นนกแปลกๆตัวใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง ลักษณะมันคล้ายกับนกพิราบหรือนกเขาตามบ้านเราแต่ตัวใหญ่กว่าเกือบสามเท่าตัว ผมนั่งอยู่ที่นี่สักพักและรู้สึกดีกับความสงบรอบตัว จากนั้นก็ค่อยๆปีนกลับไปที่ระเบียงแล้วค่อยๆเดินออกอุโมงค์ไป เพียงแต่หนนี้ไม่ได้รู้สึกว่าน่ากลัวเหมือนตอนแรก อาจเป็นเพราะเราได้รู้แล้วว่ามันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหนก็เป็นได้ และวันแรกที่ Fox Glacier ก็ผ่านไป

        ในวันที่สองผมเริ่มการเดินทางไปอีกทิศทางหนึ่งซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับเมื่อวาน แผนการก็ไม่มีอะไรมากนอกจากเลี้ยวไปตามป้าย และ ตามความรู้สึกที่บอกว่าน่าจะลองไปดู เป็นเรื่องดีที่ป้ายบอกทางของที่นี่จะมีการคำนวณเวลาเขียนบอกไว้ด้วยว่า จะต้องใช้เวลาประมาณเท่าไหร่ในการไป ณ สถานที่ตามป้ายนั้น เพื่อที่นักเดินทางจะได้สามารถเตรียมตัวได้

การเดินทางไปตามเส้นทางธรรมชาติตามสไตล์ของผม ก็มักจะมีของติดตัวไปไม่มากเนื่องด้วยเหตุผลในเรื่องน้ำหนัก ซึ่งสิ่งที่ผมมักจะพกไปจริงๆก็คือ อาหาร น้ำดื่ม เพาเวอร์แบงค์สำหรับชาร์จโทรศัพท์ และอาจมีพวกผลไม้อย่างแอบเปิ้ลติดตัวไปด้วย สำหรับผมแล้ว มันคือของหวานหลังอาหารที่ดีมากทีเดียว

สถานที่ไฮไลต์ของวันนี้ที่ผมได้ไปก็คือ Alex Knob จะว่าไปผมก็ไม่ได้ศึกษามาก่อนหรอกว่าสถานที่นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ตามที่รู้คือ ได้สังเกตเห็นป้ายบอกทางและเวลาสำหรับใช้ในการเดินทางที่ระบุไว้  แต่ผมมักจะเผื่อเวลาไว้ต่ำกว่าที่ระบุไว้ในป้าย เพราะผมคิดว่าป้ายน่าจะระบุเวลาเดินทางของคนทั่วไปที่ใช้สปีดไม่มาก จึงได้บวกเวลาเพิ่มเพื่อเผื่อไว้ในหลายๆกรณี ซึ่งผมก็คิดเหมารวมเอาเองว่า ในกรณีที่ผมมาคนเดียวแบบนี้ และใช้สปีดในแบบของผม ในขณะที่กระเป๋าและของที่เราพกติดตัวมาก็ไม่ได้หนักอะไร ผมจึงคิดว่า ผมน่าจะสามารถลดเวลาการเดินทางจากที่ระบุไว้ในป้ายได้กว่าครึ่งชั่วโมงจนถึงหนึ่งชั่วโมง ซึ่งจากประสบการณ์ส่วนใหญ่ของการเดินตามเส้นทางธรรมชาติของที่นี่ สุดท้ายผลลัพธ์ก็มักจะเป็นแบบนั้น

        ภูเขาลูกที่ผมกำลังขึ้นอยู่นี้ ถ้าจะให้พูดตามความรู้สึกของเด็กที่ไม่รู้ประสีประสา ผมก็อยากจะบอกว่า อะไรๆก็ดูน่าตื่นตาตื่นใจทั้งนั้น ทั้งพันธุ์ไม้ และต้นไม้ที่ขึ้นตามทาง ระบบรากโผล่ขึ้นมาให้เห็นบนพื้นดินเพราะต้นไม้มีอายุมาก พวกมันอาจจะอยู่ที่นี่มากว่าหลายร้อยปีแล้วก็ได้ ซึ่งต้องเข้าใจว่า ต้นไม้ที่เกิดในประเทศนี้นั้น อยู่ในสภาวะที่อากาศหนาว ซึ่งเป็นผลให้รอบการเจริญเติบโตของมันช้ากว่าต้นไม้ที่อยู่ในเขตร้อนอย่างบ้านเราเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว ดังนั้นหากเราประเมินต้นไม้สองต้นที่ขนาดเท่ากัน โดยให้ต้นหนึ่งเป็นต้นไม้ที่ปลูกที่ประเทศไทย กับอีกต้นเป็นต้นไม้ของที่นี่ คุณก็แน่ใจได้เลยว่าต้นไม้ของที่นี่จะมีอายุยาวนานกว่า เนื่องจากความยากลำบากจากสภาวะอากาศที่ส่งผลต่อการเติบโตของมัน ในมุมมองส่วนตัวของผม เหตุผลดังกว่าวจึงทำให้ผมรู้สึกว่าต้นไม้ของที่นี่ดูขลังไปโดยปริยาย 

        เส้นทางขึ้นเขาลูกนี้ในช่วงกลางจนถึงปลายจะค่อยๆชันขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่ผมเริ่มขึ้นไปก็เป็นเวลาบ่ายสามเข้าไปแล้ว ระหว่างที่ผมกำลังก้าวขึ้นวนไปวนมารอบหลูปภูเขา ผมไม่รู้สึกว่ามีใครตามขึ้นมาเลย ตรงกันข้าม กลับมีแต่ผู้คนเดินสวนกับผมเพื่อที่จะลงไป แต่ละคนก็ดูครบครันไปด้วยอุปกรณ์ บางคนก็ลงมาคนเดียว บ้างก็ลงมาเป็นคู่ แต่ก็จะไม่มีกลุ่มที่มีจำนวนมากไปกว่านั้น ซึ่งที่ประเทศนี้ การทักกันว่า Hi กับคนแปลกหน้าที่เดินป่าสวนกันถือว่าเป็นเรื่องปกติ บางคนก็ถึงกับตกใจที่เห็นผมใช้รองเท้าแตะคีบในการเดินทางมาถึงจุดที่เขาเดินสวนกับผม แต่เด็กบ้านๆที่ชอบลุยๆแบบผม บางทีก็รู้สึกว่า ฝรั่งบางครั้งก็ดูระมัดระวังจนเกินไป







     
         กว่าผมจะขึ้นไปถึงยอดเขาก็เป็นเวลากว่าห้าโมงเย็นแล้ว เป็นที่แน่นอนว่าไม่มีใครตามผมมา ซึ่งก็สรุปได้เลยว่าผมเป็นคนสุดท้ายของวันนี้ที่ขึ้นมาที่นี่ ถ้าจะให้นับจำนวนคนทีเดินสวนกับผมลงไปตอนที่ผมเดินขึ้นมาก็ประมาณเจ็ดคนเห็นจะได้ วิวทิวทัศน์รอบตัวบนเขาที่อยู่สูงกว่าเขาที่อยู่ใกล้เคียงโดยรอบ อาจไม่ได้เป็นภาพที่ต้องการคำอธิบายอะไรมาก วันนั้น

ถ้าจำได้น่าจะเป็นวันที่เมฆปกคลุมท้องฟ้า จึงทำให้ผมจำไม่ได้ว่าผมได้เห็นพระอาทิตย์ตกหรือไม่ ผมอยู่บนนั้นสักพัก รู้สึกถึงความกว้างขวางไร้ขอบเขต บางครั้งการที่เราได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่รอบตัวเพียงลำพังแบบนี้ ก็ทำให้รู้สึกได้เลยว่า แท้ที่จริงแล้ว คนตัวเล็กๆที่เราเคยให้ความสำคัญมาตลอดทั้งชีวิตนี้ อาจไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลยเมื่อเทียบกับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ และจักรวาลที่เกินกว่าจะหยั่งถึงนี้ คำถามดีๆที่พอจะนึกขึ้นได้ก็คือ แล้วเวลาที่เรามีโอกาสเดินไปเดินมาบนโลกนี้ มันควรจะมีอะไรที่เราพอจะทำได้มากกว่าแค่การหาอะไรใส่ปากเพื่อให้อิ่มท้องไปวันๆ แล้วก็ได้แต่รอวาระที่เวลาของเราสิ้นสุดลงบ้างไหม ขอโทษนะครับที่บางครั้งผมพูดอะไรที่มันดูไกลเกินไป แต่ถ้าจุดประสงค์ของงานชิ้นนี้อยู่บนพื้นฐานของความจริงใจ สิ่งที่ผมเพิ่งเล่าไป ผมก็คิดว่ามันสมควรแล้ว

        สุดท้ายแล้วผมใช้เวลาเดินลงมาถึงที่พักข้างล่างกว่าเกือบสามทุ่ม เล่นเอาระทึกอยู่เหมือนกันเมื่อต้องเดินอยู่ในป่าคนเดียวตอนกลางคืน แต่ผมก็ชอบความรู้สึกแบบนี้นะ “ชอบแบบหวาดๆ”  คำอธิบายมันฟังดูชอบกลๆใช่ไหม แต่มันก็ประมาณนั้นแหละ ผมมาถึงแบคแพคเกอร์ด้วยอาการหิวโซ จึงรีบต้มมาม่าเพราะอยากจะกินอะไรอุ่นๆ แล้วก็เข้านอนอย่างที่คิดว่า “เตียงนี่แหละ ที่ฉันต้องการ”

       

         


       

         

No comments:

Post a Comment

คำนำและบทสรุป

          คำนำและบทสรุป           รูปแบบการเดินทางเป็นเรื่องราวเฉพาะบุคคล ไม่มีการเดินทางเส้นไหนจะวิเศษกว่าเส้นทางไหน เพราะทั้...