ในบ่ายวันถัดมาผมได้เดินทางมาที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เพื่อมาพบกับต้นไม้อายุพันปีอีกต้นหนึ่ง สำหรับสถานที่ตั้งของต้นไม้ต้นนี้นั้น แตกต่างไปจากต้นที่ผ่านมา เส้นทางที่จะเข้าไปอยู่ห่างออกมาจากหมู่บ้านเล็กน้อย โดยมีถนนเส้นเล็กๆที่มีต้นไม้ปกคลุมนำเข้าไป มีป้ายบอกทางที่ทำขึ้นเองด้วยไม้อย่างเรียบง่าย
ในที่สุดผมก็ได้มาจอดอยู่หน้าบริเวณป่าชุมชนของที่นี่ บริเวณด้านหน้าเป็นพื้นที่ลาดยางที่พอให้รถจอดได้ประมาณสี่ห้าคัน มีป้ายเขียนอธิบายสถานที่แห่งนี้ไว้ว่า เป็นที่ตั้งของป่าชุมชนที่ได้มีการนำพันธุ์ไม้หลากหลายชนิดมาปลูกเสริมไว้ ด้วยเหตุผลของการอนุรักษ์ และภายในป่าแห่งนี้ก็เป็นที่ตั้งของต้นไม้ที่มีอายุกว่า 2,000 ปี
ผมไม่รอช้ารีบคว้าขวดน้ำดื่ม และเริ่มเดินเข้าไปสำรวจด้านใน ข้างในมีทางเดินที่จัดไว้เป็นอย่างดี ผมรู้สึกตื่นเต้นและเพลิดเพลินทุกครั้งที่ได้มีโอกาสเดินอยู่ในป่าคนเดียวแบบนี้ มีนกท้องถิ่นให้เห็นอยู่หลากหลายชนิดด้วยกัน มีตัวหนึ่งที่ดูสะดุดตาผม มันมีลักษณะคล้ายนกกระยาง แต่ขาสั้นกว่าประมาณครึ่งนึง ผมเห็นมันเอาแต่วิ่งสองขา ตอนแรกผมนึกว่ามันคือนกกีวี่เสียอีก แต่สีขนของมันเป็นสีน้ำเงินออกม่วงๆ ซึ่งต่างไปจากนกกีวี่ที่มีขนสีน้ำตาล
ตอนแรกผมนึกว่าผมได้เจอนกหายากเข้าให้แล้ว แต่ผมก็ต้องเปลี่ยนความคิด เพราะหลังจากนั้นผมก็ได้เห็นมันวิ่งเล่นกันอีกหลายตัว อย่างไรก็ตาม เสียงร้องของพวกมันฟังดูคล้ายๆกับพวกไดโนเสาร์ในหนังเลย ยิ่งบวกกับที่พวกมันเอาแต่วิ่ง จึงยิ่งทำให้ดูเหมือนเข้าไปอีก ดูเหมือนว่าตอนนี้ผมจะนอกเรื่องไปกับเรื่องของนกนานไปหน่อยแล้ว งั้นผมขอกลับไปที่เรื่องต้นไม้นะ
เส้นทางนำไปสู่ใจกลางของป่า เพื่อนำมาสู่ต้นไม้ใหญ่ยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางป่าแห่งนี้ บรรยากาศดูมีมนต์ขลังมาก ต้นไม้ต้นนี้มีรูปทรงคล้ายกับต้นที่แล้วที่ผมไปพบมาก่อนหน้า โดยมีลักษณะแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างกว้างขวาง แต่การที่มันมาตั้งอยู่ใจกลางป่าเช่นนี้นั้น ทำให้ได้ความรู้สึกแตกต่างกันมากเลยทีเดียว
ข้อมูลในบอร์ดที่ติดไว้บอกว่า ต้นไม้ยักษ์ที่มีอายุเป็นพันๆปีแบบนี้ ในสมัยก่อนจะใช้เป็นที่เก็บกระดูกและกระโหลกของคนตาย โดยจะถูกนำมาใส่ไว้ในโพรงต้นไม้ยักษ์แบบนี้ ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบกันมา อย่างไรก็ตาม กระดูกต่างๆที่เคยอยู่ในโพรงต้นไม้ต้นนี้ได้ถูกนำออกไปแล้ว ผมรู้สึกทึ่งกับประวัติความเป็นมา และได้ทำการกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้กับจิตวิญญาณต่างๆ(ตามความเชื่อส่วนตัว) จากนั้นผมได้เดินอ้อมไปอีกทางเพื่อกลับไปที่รถ
พอประเมินดูก็คิดว่าน่าจะพักค้างแรมที่นี่ได้ เนื่องจากบรรยากาศที่เงียบสงบและมีห้องน้ำอยู่ใกล้ๆตรงตามความต้องการ สิ่งมีชีวิตที่ผมพอจะสังเกตเห็นได้ที่นั่นก็คือ นก และวัว (ที่กินหญ้าอยู่ในที่ดินของชาวบ้านที่มีพื้นที่ติดกับป่า) พวกมันอาจจะแปลกใจว่าใครมาทำอะไรแถวนี้ วัวของประเทศนี้ตัวใหญ่และมีขนปุกปุย แต่ก็ร้องเสียงดังคล้ายๆกับวัวที่บ้านเรา
แม้ว่าบรรยากาศโดยรอบจะมืดมิดจนแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย แต่นั่นก็ทำให้ดาวบนท้องฟ้าดูกระจ่างชัด ผมรู้สึกได้ว่านี่จะเป็นอีกคืนที่จะได้หลับอย่างสบาย อาจจะเป็นเพราะความเงียบสงบและการได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และแล้วผมก็หลับไปเหมือนอย่างทุกคืน
ในตอนเช้าผมลุกขึ้นมาชงกาแฟดื่มตามเคย และก็แปลกใจเมื่อเห็นรถตู้คันหนึ่งแล่นเข้ามาในตอนเช้าตรู่แบบนั้น จากการสังเกตอุปกรณ์ต่างๆในรถทำให้รู้ว่า รถคันนี้เป็นรถของคนทำความสะอาดห้องน้ำ ผมอดนึกประทับใจไม่ได้ที่เขามาเริ่มงานเช้าขนาดนี้ และคิดในใจว่า เขาต้องมีสถานที่อื่นต้องไปทำอีกแน่ๆ แม้ว่าจะเป็นงานทำความสะอาดห้องน้ำและดูแลสถานที่ แต่ก็อาจจะไม่น่าเบื่อมากนักเมื่อได้ขับรถไปตามที่ต่างๆ เพราะต้องเปลี่ยนที่ทำงานไปเรื่อยๆ ผมชวนเขาดื่มกาแฟ เขาปฏิเสธแต่ก็ขอบคุณสำหรับคำชวน หลังจากทำภารกิจส่วนตัวเสร็จแล้ว ผมก็ขับรถออกมาจากที่นั่น
No comments:
Post a Comment