ในระหว่างเดือนเมษาและพฤษภา ผมเกิดความคิดที่ว่าน่าจะได้เวลาที่ผมควรจะทำเรื่องขอต่อวีซ่าเพิ่มอีกสามเดือนแล้วล่ะ แม้ว่าจะเหลือเวลาอีกหลายเดือนก่อนที่วีซ่าตัวปัจจุบันจะหมดอายุ แต่ก็ไม่ได้มีข้อห้ามไม่ให้ทำก่อนนี่ ในเมื่อผมตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะใช้ช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่เก็บเงินให้ได้นานที่สุด
อย่างไรก็ตาม มีกฎสำคัญข้อนึงสำหรับการทำวีซ่าตัวนี้ที่ว่า ผู้ประสงค์จะยื่นนอกจากจะต้องเคยมีประสบการณ์การทำงานด้านการเกษตรและเสียภาษีอย่างถูกกฎหมายเป็นเวลาไม่ต่ำกว่าสามเดือนแล้ว เขาผู้นั้นควรจะต้องมีเงินในบัญชี เพียงพอต่อการพักอาศัยใน NZ ในช่วงเวลาที่เหลือ และสามารถครอบคลุมถึงค่าตั๋วเครื่องบินในการบินกลับประเทศอีกด้วย
ตอนนั้นผมก็คิดเล่นๆแบบเด็กๆว่าผมมีเงินในบัญชีประมาณ 1000 กว่าเหรียญ ซึ่งผมก็คิดว่าคงจะพอ แต่ทำไปทำมาผมก็ได้อีเมลตอบกลับจาก Immigration ว่าสถานการณ์ทางการเงินของผมยังน่าเป็นห่วงอยู่ ผมจึงส่งอีเมลชี้แจงกลับไปว่า ผมเพิ่งใช้เงินก้อนใหญ่ไปกับการซื้อรถ และผมก็ถ่ายรูปยอดเงินในบัญชีเงินเก็บของผมโดยการแคปหน้าจอ เพื่อให้เขาเห็นการเคลื่อนไหวของบัญชี แล้วส่งแนบพร้อมไปกับอีเมล โดยปกติผมจะโอนเงินเข้ามาในบัญชีนี้ประมาณ 300 เหรียญต่อสัปดาห์ ซึ่งผมจะทำทันทีที่ยอดเงินรายรับเข้ามา อย่างไรก็ตาม ทางอิมมิเกรชั่นก็ไม่ได้ส่งอีเมลอะไรตอบกลับมาแต่อย่างใด
ผมจึงใช้ความตั้งใจหรืออาจจะเรียกว่าความดันทุรังก็ได้ โดยใช้วิธีถ่ายภาพยอดเงินในบัญชีเงินเก็บ และส่งไปให้อิมมิเกรชั่นทุกสัปดาห์ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ร้องขอก็เถอะ อันที่จริงผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีใครได้อ่านมันหรือไม่ เพราะไม่เคยมีอีเมลใดใดตอบกลับมาเลย โดยในแต่ละสัปดาห์เงินในบัญชีจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 300 เหรียญ ผมทำเช่นนี้เพื่อเป็นการยืนยันความตั้งใจ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้ที่ดูแลเคสของผม ผมเคยถามเพื่อนที่ทำงานในโรงงานว่า ปกติจะต้องมีเงินในบัญชีขั้นต่ำประมาณเท่าไหร่ที่ทางอิมมิเกรชั่นจะอนุมัติวีซ่าตัวนี้ให้ คำตอบที่ได้คือประมาณ 3000 เหรียญ พอได้รู้คร่าวๆแบบนี้ ผมก็แค่อดทนรอไปเรื่อยๆ และคอยส่งอีเมลแสดงยอดเงินในบัญชีดังกล่าวอย่างไม่ขาด และในที่สุด เมื่อถึงสัปดาห์ที่ผมแสดงให้เห็นว่าเงินเก็บของผมแตะสามพันเหรียญแล้ว โดยไม่ทันตั้งตัว เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น ทางอิมมิเกรชั่นก็ส่งอีเมลตอบกลับมาว่าได้อนุมัติวีซ่าที่ผมขอแล้ว ผมส่งอีเมลฉบับสุดท้ายกลับไป เพื่อขอบคุณในความกรุณาที่ได้ให้เวลาผมเพื่อพิสูจน์ตัวเอง
หลังจากที่ได้วีซ่าตัวใหม่มาไม่นาน ก็พอดีกับที่งานที่โรงงานแพ็คแอปเปิ้ลกำลังจะสิ้นสุดลงพอดี และงานใหม่ที่ผมตั้งใจจะไปทำในช่วงฤดูหนาวที่ใกล้เข้ามาก็คือ งานตัดแต่งกิ่งองุ่น
ในช่วงฤดุหนาวของที่นี่ซึ่งก็คือเดือนมิถุนา-สิงหาคมจะเป็นช่วงที่หนาวที่สุดของประเทศนี้ ทางเกาะใต้น่าจะมีบางที่ที่อุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์องศา ซึ่งบอกได้เลยว่าผมไม่กล้าที่จะลงไปช่วงนี้แน่ และในเมื่อความตั้งใจของผมนับแต่นั้นคือการสะสมเงินกลับไทยให้ได้มากที่สุด สิ่งที่คิดไว้ก็คือ การได้ทำงานอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ซึ่งงานในฤดูกาลนี้ที่มีความต้องการด้านแรงงานมากที่สุดก็คืองาน Pruning ต้นองุ่น หรือการตัดแต่งกิ่งองุ่นหลังจากการเก็บเกี่ยวนั้นเอง จุดประสงค์ของการทำเช่นนี้ในธุรกิจผลิตไวน์ก็เพื่อเป็นการตัดแต่งทรงพุ่มของเถาองุ่น โดยจะโละของเก่าออกกว่าแปดสิบเปอร์เซ็น และเหลือกิ่งที่คุณภาพดีไว้บางส่วน เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับฤดูใบไม้ผลิ ที่ใบองุ่นน้อยๆจะผลิออกมาใหม่ เพื่อเริ่มต้นการเจริญเติบโตอีกครั้ง
ด้วยความสะดวก และเพื่อความต่อเนื่องของการสะสมทุน ผมจึงปักหลักอยู่ที่ Hastings ต่อ ด้วยเหตุผลที่ หนึ่ง: ผมสามารถหางานได้ง่ายในฤดูหนาวเช่นนี้ สอง: แม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่จุดที่อยู่เหนือที่สุดของเกาะเหนือ(ที่ผมเดาเอาเองว่าน่าจะอุ่นที่สุด) แต่ผมก็คิดว่ามันคงไม่ได้หนาวจนโหดร้ายมากนัก เพราะในเมืองนี้ก็มีคนไทยอาศัยอยู่หลายคนเช่นกัน แม้ว่าผมจะไม่ได้เปลี่ยนเมือง แต่ผมก็เปลี่ยนงานและเปลี่ยนที่อยู่ ซึ่งผมก็รู้สึกว่าอย่างน้อยมันก็ยังตื่นเต้นอยู่บ้างนิดๆ
การเลือกจะอยู่เมืองไหนในฤดูหนาวนั่นก็ด้วยเหตุผลหนึ่ง แต่การจะเลือกอยู่ที่ใดในเมืองนั้นก็เพราะเหตุผลอีกชุดหนึ่ง ผมย้ายจากแบคแพคเกอร์ไปอยู่บ้านแบ่งให้เช่าของคนไทยครอบครัวหนึ่ง ที่มีห้องว่างอยู่หนึ่งห้องพอดี ด้วยเหตุผลหลักง่ายๆก็คือ งานที่ผมตั้งใจจะทำในอีกสามเดือนข้างหน้านั้น เป็นงานที่ผมได้ยินมาว่ามันค่อนข้างหนัก แต่ก็ให้รายได้ที่ดีถ้ารู้จักทำ ผมยังได้ยินมาว่ากลุ่มคนไทยในเมืองนี้ส่วนใหญ่ พอถึงฤดูนี้ พวกเขาก็มักจะทำงานนี้เป็นปกติตลอด โดยทำติดต่อกันมาหลายปี นั่นทำให้พวกเขามีประสบการณ์และมีเทคนิคที่มีประโยชน์ที่จะทำให้งานของพวกเขามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และในเมื่อผมจะต้องได้ทำงานแบบเดียวกันนี้ในอนาคตอันใกล้ การได้อยู่ในบ้านของคนไทยที่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้จึงน่าจะมีประโยชน์ ทั้งในเรื่องของการสอนงาน และลู่ทางในการเข้าถึงนายจ้างคนใหม่(เนื่องด้วยข้อกำหนดวีซ่าที่ผมถืออยู่นี้ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนนายจ้างในทุกสามเดือน)
ข้อดีบางอย่างที่ผมไม่ได้เจาะจงนักที่เพิ่มขึ้นมาก็คือ ราคาค่าเช่าที่ถูกลงพร้อมกับคุณภาพที่มากขึ้น ครอบครัวคนไทยส่วนใหญ่ในเมืองนี้ไม่ได้มีบ้านเป็นของตัวเอง พวกเขาก็เช่าอยู่เช่นกัน แน่นอนว่าสมาชิกในบ้านต้องหุ้นเงินกันเพื่อจ่ายค่าเช่าในแต่ละสัปดาห์ และการที่มีห้องว่างในบ้านเหลือแล้วมีผู้มาขอเช่าซ้อน เพื่อที่อย่างน้อยห้องนั้นก็จะไม่ได้ว่างจนเปล่าประโยชน์ จึงถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะพวกเขามีคนมาช่วยเสริมราคาค่าเช่าที่พวกเขาจะต้องจ่ายอยู่แล้ว ในขณะที่ผมก็ได้ห้องที่มีความเป็นส่วนตัวมากกว่า ในราคาที่ถูกลง จึงนับว่าเหตุการณ์แบบนี้ให้ผลดีกับทั้งสองฝ่าย และสิ่งที่คุณจะหาไม่ได้จากการไปเช่าพักที่อื่นก็คือ การได้ร่วมวงกินอาหารไทยกับคนไทยด้วยกันในความมีน้ำใจแบบคนไทย ซึ่งผมก็มักจะตอบแทนความมีน้ำใจนี้ด้วยการล้างจาน และเก็บกวาดพื้นที่ของบ้านให้สะอาดตามสมควร นอกจากนี้การได้พูดคุยกับสังคมคนไทยบ้างก็ช่วยให้ไม่คิดถึงบ้านมากนัก
No comments:
Post a Comment