พอผมขับรถผ่านสะพานเข้ามาในเมืองนี้แล้ว ผมรู้สึกได้ทันทีว่าเมืองนี้ให้บรรยากาศที่แตกต่างออกไปจากเมืองที่เคยไปมา ผมอาจจะรู้สึกไปเองก็ได้ว่า ถนนบนสะพานขนาดใหญ่ที่พาดผ่านแม่น้ำเข้าสู่ตัวเมืองนั้น คล้ายกับภาพที่ผมเคยเห็นผ่านตาในบรรยากาศของประเทศอังกฤษ ที่มีสะพานพาดผ่านแม่น้ำ Theme อย่างงัยอย่างงั้น แต่ผมเองก็ยังไม่เคยไปประเทศอังกฤษหรอกนะ แค่ความรู้สึกที่เห็นตรงหน้ามันทำให้นึกถึงภาพที่เคยเห็นผ่านตามาก็เท่านั้นเอง
ถนนหนทางในเมืองนี้และอาคารบ้านเรือนต่างๆถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม มีสวนน้ำพุเล็กๆอยู่ตามแยกต่างๆในเมือง บรรยากาศดูคึกคักและมีสีสันมากกว่าที่ Hastings มาก ผมขับรถวนไปวนมาในเมืองสักพักก็เริ่มรู้สึกอยากอาบน้ำ หากจะว่าไปแล้ว ด้วยอากาศที่ค่อนข้างเย็นในขณะนี้การไม่อาบน้ำสักสองสามวันก็คงจะไม่มีผลเท่าไหร่เนื่องจากไม่มีเหงื่อ แต่มันเป็นความรู้สึกแบบว่า หากได้อาบน้ำน่าจะทำให้รู้สึกสบายตัว ผมยังรู้สึกอยากสระผมมากๆด้วย
ผมจึงลองหยุดรถถามแบคแพคเกอร์ที่ผมเห็นข้างทาง ว่าจะเป็นไปได้ไหมหากผมจะขอเพียงแค่ใช้ห้องน้ำเพื่ออาบน้ำแต่ไม่ขอจองห้องพัก แต่เขาก็ไม่สะดวกกับคำขอนี้ จนผมได้ลองเข้าไปถามใน I Site ซึ่งก็คือที่ที่จะมีคนคอยให้ข้อมูลกับนักท่องเที่ยว พนักงานคนที่ผมเจอนั้นใจดีมาก เธอโทรไปถามแบคแพคเกอร์แห่งหนึ่งที่เธอรู้จัก ซึ่งทางนั้นก็ตกลงกับข้อเสนอนี้ จากนั้นเธอยังได้ชี้จุดแนะนำตำแหน่งของที่พักนั้นในแผนที่ให้ผมดูอีกด้วย เมื่อผมไปถึงที่นั่นและจ่ายเงินให้เจ้าของห้าเหรียญเพื่อเป็นค่าอาบน้ำแล้ว การได้อาบน้ำอุ่นๆหลังจากไม่ได้อาบมาสามวันนั้น มันช่างรู้สึกดีจริงๆ
ผมเริ่มเข้าสู่โหมดขี้เกียจและไม่อยากจะขับรถไปหาที่นอนที่ไหนอีก ผมแค่อยากอยู่เฉยๆและใช้อินเตอร์เน็ต ผมจึงตัดสินใจพักอยู่ที่นี่ต่อและจ่ายเงินเพิ่มแก่เจ้าของที่พัก ซึ่งเธอก็ดูเข้าอกเข้าใจดีมาก การนอนในคืนนั้นของผมคือการนอนในรถ โดยผมสามารถใช้อุปกรณ์ต่างๆในหอพักได้ อย่างห้องน้ำ ห้องครัว และอินเตอร์เน็ต เพียงแต่ผมจะไม่ได้รับบริการเตียงนอนเท่านั้น ซึ่งราคาในการรับบริการเพียงเฉพาะที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น จะถูกกว่าค่าบริการเต็มรูปแบบที่มีเตียงนอนถึง 50 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว เป็นต้นว่า หากราคาในการเข้าพักในห้องนอนรวมอยู่ที่ 30 เหรียญ การเลือกที่จะนอนในรถจะช่วยให้ผมได้จ่ายเพียง 15 เหรียญ หากจะว่าไปตามความรู้สึกของผมแล้ว วิธีหลังนี้สบายและเป็นส่วนตัวกว่ามาก เสียดายที่ผมตระหนักถึงวิธีนี้ในช่วงท้ายๆก่อนที่วีซ่าของผมใกล้จะหมด ไม่เช่นนั้นผมอาจจะมีเงินเหลือมากกว่านี้ แต่ไม่ว่าประสบการณ์มันจะเป็นแบบไหน มันก็เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และจบไปแล้ว
เช้าวันต่อมาผมตื่นมาด้วยความสดชื่นและสบายใจ ผมจัดแจงเตรียมข้าวของเพื่อออกเดินทางอีกครั้ง ผมหุงข้าวไว้กินจนเต็มหม้อ ไม่รู้ว่าคุณยังจำหม้อหุงข้าวที่ผมเคยพูดถึงได้หรือเปล่า มันยังมีประโยชน์มาจนถึงทุกวันนี้เลยนะ ผมชาร์จแบตโทรศัพท์และแบตสำรองจนเต็ม เติมน้ำเปล่าใส่ถัง ซึ่งจะเป็นน้ำที่ไว้ใช้ดื่มและทำอาหาร
ผมลืมเล่าไปว่าช่วงเวลาที่ผมพักที่นี่ ผมมีโอกาสได้เจอกับกลุ่มวัยรุ่นชาวศรีลังกา ที่มาอยู่ที่นี่เพื่อเรียนทำอาหาร ด้วยความหวังว่า วันหนึ่งพวกเขาจะใช้ทักษะนี้สมัครขอเป็นคนที่นี่ ผมได้เจอเพื่อนชาวแคนนาดาคนหนึ่งที่ชอบพายเรือคายัค ซึ่งเขาก็เลือกที่จะนอนในรถของเขาเช่นกัน อีกคนที่ผมคุยด้วยเป็นชาวญี่ปุ่น ที่เคยทำงานเป็นครูสอนดำน้ำ เป้าหมายของเขาคือการเดินทางรอบแผนที่ NZ และในระหว่างที่ผมกำลังจะเดินทางต่อในวันถัดมานั้นเอง เขาก็ถามผมว่ากำลังจะเดินทางไปไหน ผมเลยว่าผมกำลังจะลงไปทางใต้โดยจะมุ่งหน้าไป Palmerston North เขาลองขอผมดูว่าพอจะเป็นไปได้ไหมที่เขาจะติดรถไปด้วยเพื่อที่จะลงที่เมืองๆหนึ่งที่อยู่ระหว่างทาง แน่นอนว่าผมตอบตกลง
ผมรู้สึกดีและสนุกที่ได้ทำอะไรแบบนี้อยู่แล้ว ก็ดีเหมือนกันที่มีเพื่อนเดินทางด้วย ระหว่างทางเขาก็เล่าเรื่องราวใน NZ ของเขาให้ผมฟัง เขาว่ามีครั้งหนึ่งเขาเคยโบกรถคนอื่นเพื่อที่จะขอติดรถไปอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งเป็นวิธีการเดินทางที่เขาใช้เป็นปกติ แต่ครั้งนั้นเขาโชคร้ายที่โดนเจ้าของรถชิ่งขับรถหนีตอนที่เขาไปเข้าห้องน้ำ โดยเอากระเป๋าเดินทาง พาสปอร์ตและเอกสารสำคัญอื่นๆติดรถไปด้วย ผมจำไม่ได้ว่าเขาเล่าว่าอะไรต่อจากนั้น แต่ระหว่างที่เขารออะไรสักอย่างจากสถานทูตญี่ปุ่น เขาใช้วิธีเจ๋งๆอย่างไปนั่งกินเบอร์เกอร์ที่ร้านแมคโดนัลที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง แล้วนั่งหรืออาจจะเรียกว่านอนในท่านั่งตลอดคืน เพื่อที่จะให้ผ่านคืนนั้นไปอีกวัน
ซึ่งในท้ายที่สุดเขาก็สามารถติดต่อครอบครัวของเขาที่ญี่ปุ่นได้ และได้รับเงินช่วยเหลือจากทางบ้านเพื่อทำตามแผนที่เขาตั้งใจไว้ต่อไป ผมละเชื่อเลย หากเป็นผมที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีใจอยากเที่ยวต่อหรือเปล่า และเนื่องจากเขามีประสบการณ์การโบกรถมาแล้วหลายครั้ง ผมจึงถามถึงวิธีการที่เขาใช้ ซึ่งเป็นไอเดียที่น่าสนใจทีเดียว เขาบอกว่าเป็นเรื่องปกติที่คนขับมักจะขับมาด้วยความเร็ว ดังนั้นการที่รถคันหนึ่งจะชะลอและจอดนั้นจะต้องใช้จังหวะสักระยะ เมื่อเป็นเช่นนี้ วิธีที่เขาใช้ก็คือ เขาจะวางป้ายที่บอกว่าเขากำลังอยากจะเดินทางไปไหนพร้อมกับสัมภาระไว้ข้างหน้าเขาประมาณร้อยเมตร และเขาจะยืนห่างออกไปพร้อมกับถือป้ายอีกอันหนึ่ง เขาบอกว่าด้วยวิธีนี้จะช่วยให้รถที่จะจอดมีเวลาตัดสินใจ และสามารถชลอเพื่อเตรียมจะจอดได้
ผมก็ได้แค่ประทับใจในไอเดีย แต่ก็ยังไม่เคยลองจริงๆหรอก พอนึกถึงตอนที่เที่ยวเกาะใต้แบบไม่มีรถแล้วต้องคอยหิ้วกระเป๋าไปมา ในความรู้สึกผมแล้ว การมีรถและพื้นที่ส่วนตัวแบบนี้มีอิสระและสบายกว่ากันมาก ผมรู้สึกว่ามันเป็นการเที่ยวที่ถึงกึ๋นดี ที่จะไปที่ไหนก็ได้ อยากจะหยุดนานแค่ไหน หรือแม้จะทำอาหารกิน หรือจะนอนที่ไหนก็เป็นไปได้ทั้งนั้น หากผมมีโอกาสได้วีซ่าแบบนี้อีก ผมคงจะหาวิธีที่ให้ได้อิสระในการเดินทางแบบนี้ให้ได้เร็วๆเป็นแน่
ไปๆมาๆเพื่อนผมคนนี้ก็เริ่มจะอยากลองไอเดียแบบนอนในรถดูบ้าง ซึ่งหลังจากที่ผมประเมินพื้นที่ด้านหลังรถดูแล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เย็นวันนั้นผมเลยได้กินพาสต้าสไตล์ญี่ปุ่น โดยได้แขกผู้มาเยือนทำเลี้ยง พวกเราจอดรถค้างคืนที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ที่ไหนผมก็จำไม่ได้ แต่รู้ว่าติดกับทะเลสาบในชุมชน อย่าถามผมเลยว่าเขาอนุญาตให้จอดรถค้างคืนไหม ที่นี่ไม่มีทั้งป้ายแนะนำ แล้วก็ไม่มีป้ายห้ามเช่นกัน และการพักค้างแรมในคืนนั้นก็เป็นไปอย่างปกติดี
ตอนเช้าผมไปส่งเขาในตัวเมือง และพอรู้ว่าเขาชอบกินพาสต้า ผมจึงยกพาสต้าทั้งกล่องที่ติดมากับรถให้ไปด้วย เพราะผมไม่ค่อยได้ปรุงเมนูนี้หรอก ดูเหมือนว่าผมจะคุ้นเคยกับเส้นมาม่ามากกว่า เพราะใช้เวลาในการทำให้สุกน้อยกว่า ส่วนเขาก็ตอบแทนผมด้วยผ้าขนหนูหนึ่งผืน เพราะรู้ว่าผมลืมของผมไว้ที่แบคแพคเกอร์เมื่อวันก่อน
No comments:
Post a Comment