14. เกาะใต้ (ตอนที่ 1) การสละ



       



        และแล้วผมก็ได้มาถึงเมือง Chrischurch เมืองที่ซึ่งมีประวัติแผ่นดินไหวมาเมื่อไม่นานมานี้ จึงเป็นเรื่องปกติที่คุณจะเห็นการก่อสร้างอาคารค่อนข้างบ่อยในขณะที่คุณเดินไปตามถนนของเมือง ผมมาถึงที่นี่ในช่วงบ่ายแก่ๆแล้ว และยังไม่ได้จองที่พักที่ใดไว้เลย แต่หลังจากที่บอกคนขับแทกซี่ที่สถานีรถไฟว่าผมกำลังหาที่พัก เขาก็พาผมมาในย่านที่มีแบคแพคเกอร์เยอะๆที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยของเมืองนี้

 พอมาถึงก็โชคดีที่พนักงานต้อนรับของโรงแรมบอกว่าเหลือเตียงว่างอยู่เตียงหนึ่ง เขาบอกกับผมว่า ช่วงฤดูร้อนแบบนี้คนมักจะลงมาเที่ยวเกาะใต้กันเยอะ แต่อย่าเข้าใจผิดว่าฤดูร้อนที่เกาะใต้นี้อากาศจะต้องร้อนตามนะครับ ฤดูร้อนของเกาะใต้ที่นี่ก็เหมือนกับฤดูหนาวทางภาคเหนือของเรานั่นแหละครับ หลังจากได้ที่พัก ผมก็ออกเดินเล่นรอบเมือง สวนสาธารณะของที่นี่ใหญ่และกว้างมาก ออกแบบได้ดีและสวยงามลงตัว หากจะว่าไปผมรู้สึกว่ามันเป็นแบบนี้แทบจะทุกเมืองเลย ที่จะมีสวนสาธารณะที่มีพื้นที่กว้างขวางไว้บริการผู้คน แต่คนกลับไม่เยอะเหมือนบ้านเรา บอกได้เลยว่าผู้ที่ชอบความสงบจะชอบบรรยากาศของประเทศนี้มาก

        เรื่องน่าตลกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นในเช้าวันถัดมา ห้องที่ผมนอนเมื่อคืนเป็นห้องนอนรวมซึ่งมีทั้งหมดหกเตียง ตอนที่ผมกำลังเก็บของก็ได้มีโอกาสคุยกับผู้หญิงฝรั่งเศสคนหนึ่งอายุประมาณสามสิบต้นๆ เธอตัดผมสั้นและดูเป็นขาลุย เธอทำงานเป็นสถาปนิก แต่ช่วงนี้อยู่ในระหว่างการพักร้อน รูปแบบการเดินทางที่เธอเลือกใช้ในการมาเที่ยว NZ ครั้งนี้ก็คือการเดิน ซึ่งก็เหมือนกับคนที่ผมเพิ่งเจอมาเมื่อสองวันก่อนนั่นแหละ ผมนี่ละทึ่งอีกรอบเลย เนื่องจากเธอคนนี้เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้ดูบึกบึนอะไร เธอตัวเล็กกว่าผมด้วยซ้ำ ช่วงนี้ที่เธอต้องเข้ามานอนในเมืองก็เพราะเธอมีอาการข้อเท้าอักเสบ จึงน่าจะดีที่เธอจะหยุดการเดินทางระยะไกลสักพัก

คุยกันไปคุยกันมา ผมก็ถามเธอว่า เวลาอยู่ในป่าเธอหลับนอนอย่างไร เธอก็ว่าเธอใช้ Hammock ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันเป็นศัพท์ใหม่สำหรับผม เธอจึงลงไปคุ้ยในกระเป๋าเดินทางของเธอเพื่อเอาออกมาให้ผมดู ซึ่งมันก็คือแปลญวณนั่นเอง เอาไว้ผูกนอนกับต้นไม้คล้ายๆในเรื่อง Avatar นั่นแหละ แหม่ ไหนๆผมก็เห็นกระเป๋าเดินทางของเธอแล้วซึ่งดูๆไปก็ขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของกระเป๋าเดินทางของผม ผมขอเธอยกกระเป๋าดูเพราะอยากรู้ว่ามันจะหนักแค่ไหน และผมก็พบว่ามันเบากว่าของผมมาก ผมนี่ออกอาการตะลึงอีกครั้งเลย ในขณะเดียวกันก็รู้สึกฉงนงงงันถามตัวเองในใจว่า แล้วนี่กูแบกอะไรมาตลอดเวลาว่ะเนี่ย  

หลังจากแยกย้ายจากเธอแล้วผมก็ลงไปเช็คเอ๊าและคืนกุญแจ พร้อมกับเกิดไอเดียบางอย่างในหัว ผมมองไปรอบๆบริเวณนั้นเพื่อหาที่เหมาะๆและผมก็เจอมุมๆหนึ่งที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านนัก แต่ก็เป็นบริเวณที่มีพวกโบวชัวแนะนำการท่องเที่ยวห้อยติดกับผนังไว้มากมาย ผมเริ่มต้นทำสิ่งที่ผมตั้งใจ ผมเริ่มเปิดกระเป๋าใบใหญ่ที่หนัก 20 กิโลกรัมของผมออกแล้วเอาของทุกชิ้นในนั้นออกมาแผ่วางบนโซฟาใกล้ๆ สังเกตและเลือกดู พร้อมกับนึกไปด้วยว่า หลังจากที่มีประสบการณ์ใน NZ กว่าสามเดือนแล้ว สิ่งที่กำลังถืออยู่นี้น่าจะมีประโยชน์กับช่วงเวลาอีกเกือบปีที่จะอยู่ใน NZ ไหม น้ำหนักและประโยชน์ของมันคุ้มค่าที่จะแบกต่อไปอีกหรือป่าว ผมทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แยกของทั้งสองกองออกจากกัน คิดซ้ำอีกครั้งกับบางชิ้น และแล้วก็ได้เวลาสรุปผล มีไอเท็มหลายชิ้นอยู่เหมือนกันที่ผมเลือกที่จะสละออก บางชิ้นเป็นเสื้อผ้าที่ดีและมีดีไซด์ที่ดีแต่คิดว่าคงไม่ได้ใช้ที่นี่ และของจิปาถะอื่นๆที่ผมเคยคิดเอาเองที่ไทยว่ามันน่าจะมีประโยชน์ที่นี่ แต่จนแล้วจนรอด ระยะเวลาที่ผมอยู่ที่นี่มากว่าสี่เดือน ผมกลับไม่เคยได้ใช้มันเลย ซึ่งก็อาจจะไม่มีเหตุผลที่ต้องเก็บไว้อีก โดยรวมๆถ้าประเมินตามความรู้สึกผมว่าของที่ผมสละทั้งหมดมีน้ำหนักรวมไม่ต่ำกว่า 7 กิโลกรัม เพราะหลังจากที่ผมเอาของที่ตั้งใจจะเก็บไว้ใช้ต่อไปใส่คืนลงไปในกระเป๋า ผมรู้สึกดีขึ้นมากพอสมควร ขณะเดียวกันก็สงสัยกับตัวเองว่าทำไมถึงแบกกระเป๋าหนักก่อนหน้านี้มาตั้งนานโดยไม่เฉลียวใจทำสิ่งที่ได้ทำไปเมื่อกี้

 ของที่ผมแยกออกมานั้นผมเรียงไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยบนโซฟานั่นเอง จัดเรียงให้ดูน่าเข้ามาหยิบ พร้อมกับเขียนโน๊ตบนกระดาษแผ่นหนึ่งและหาอะไรทับไว้ว่า “Please take anything you think it might be useful for you. My bag was too heavy. ” ตอนแรกๆที่ผมทำก็รู้สึกระแวงเหมือนกันว่าอาจมีแม่บ้านหรือพนักงานของโรงแรมเข้ามาห้าม เนื่องด้วยเหตุผลว่ามันอาจจะเกะกะพื้นที่ แต่ดีที่มุมนั้นคนไม่ค่อยพลุกพล่าน และถึงแม้หลังจากนั้นจะมีพนักงานเข้ามาเจอ ผมก็อาจจะออกจากโรงแรมไปไกลแล้ว ซึ่งหากเขาต้องการอะไรในกองนั้นผมก็ยินดีอยู่แล้ว

        ผมใช้เวลาวันต่อมาที่โรงแรมอีกแห่งหนึ่งใกล้ๆกัน ใช้เวลาอยู่นานในการจองตั๋วรถบัสไป Te Anu ที่นานนี่เพราะคิดเยอะไม่รู้ว่าจะไปไหนก่อนดี แล้วก็คิดมากเรื่องจะทำอย่างไรให้มันถูกที่สุด แต่เอาเข้าจริงแล้วทั้งสองเรื่องที่ว่ามาหากมองย้อนกลับไปก็ต่างเป็นเรื่องเสียเวลาและพลังงานทั้งสิ้น เพราะหากเรามองภาพรวมกว้างๆสักหน่อย เราก็จะพบว่าหากเราตัดใจเพิ่มเงินอีกสักนิดและปล่อยใจตามอารมณ์อีกสักหน่อย เราก็อาจไม่ต้องเสียเวลาขนาดนั้น แต่ก็นั่นแหละ ผมเสียเวลาที่นั่นเพราะผมจำเป็นต้องได้เรียนรู้สิ่งนี้ในภายหลัง เพราะผมยังคิดเองไม่ได้ตั้งแต่แรกงัย และนี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ประสบการณ์ที่ไม่มีประโยชน์สอนสิ่งที่มีประโยชน์ให้กับเรา

        ระหว่างที่ผมอยู่ในเมืองนี้ ผมก็เดินเล่นไปตามที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะ ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร จะว่าไปอะไรๆมันก็น่าตื่นตาตื่นใจดี แต่บางครั้งผมก็รู้สึกประหม่าบ้างในที่ที่ไม่คุ้นเคย ยกตัวอย่างเช่น การเข้าไปทานอาหารในร้านอาหารขนาดใหญ่ นั่งอยู่ที่โต๊ะคนเดียวโดยลำพังในขณะที่โต๊ะที่ไม่ห่างกันนักมีคนนั่งรวมกันถึงสิบคน ผมยอมรับว่าผมรู้สึกแปลกๆ แต่สุดท้ายแล้วพอข้าวหมดจาน มันก็ไม่มีอะไรจริงๆหรอก ก็แค่ความรู้สึกฟุ้งซ่านของตัวเอง ผมยอมรับว่าการมีคนคุยด้วยหรืออยู่เป็นเพื่อนมันทำให้รู้สึกอุ่นใจและมั่นใจมากขึ้น แต่ลึกๆอีกด้านหนึ่งของ

ผมก็บอกว่า แล้วมันจะเป็นไปได้ไหมหากใครสักคนจะรู้สึกสบายใจ ไม่ว่าในสถานการณ์ที่ได้อยู่คนเดียวหรือในขณะที่อยู่กับผู้อื่น และคำตอบก็คือมันเป็นไปได้ ผมเองก็อยากที่จะเป็นคนที่รู้สึกแบบนั้นจากภายใน และเมื่อผมรู้สึกได้ว่าความรู้สึกนี้มันชัดเจนแล้ว ผมก็อยากจะให้ผู้อื่นได้รับรู้ถึงสิ่งนี้ด้วย เพื่อว่าเราทุกคนจะได้ตระหนักว่า จริงๆแล้วความรู้สึกสบายใจและผ่อนคลายอาจไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ภายนอกเสมอไป มันอาจเป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้

No comments:

Post a Comment

คำนำและบทสรุป

          คำนำและบทสรุป           รูปแบบการเดินทางเป็นเรื่องราวเฉพาะบุคคล ไม่มีการเดินทางเส้นไหนจะวิเศษกว่าเส้นทางไหน เพราะทั้...