เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นผมแพ็คกระเป๋าและออกเดินทางไปที่ท่ารถบัสของตัวเมือง เพื่อที่จะเดินทางไกลไปอีกเมืองหนึ่งซึ่งอยู่ทางใต้ของเกาะใต้ เมืองนั้นมีชื่อว่า Te Anu ทำไมถึงต้องเป็นเมืองนี้น่ะหรือ เพราะเป็นเมืองที่อยู่ใกล้สถานที่ที่หนึ่งที่ผมอยากจะไปตั้งแต่อยู่ที่ไทย สถานที่แห่งนั้นคือ Milford Sound ผมรู้จักสถานที่แห่งนี้จากนิตยสารเล่มหนึ่งในห้องสมุดของโรงเรียน ช่วงนั้นผมยังไม่ได้วีซ่ามานิวซีแลนด์ด้วยซ้ำ แต่ก็นั่นแหละ เหตุผลที่อยากไปเริ่มจากจุดนั้น

หลังจากซื้อทัวร์จากพนักงานของโรงแรม ผมก็ออกไปเดินเล่นชมเมืองตามเคย แต่สิ่งที่แปลกยิ่งกว่าเคยก็คือการได้พบกันกับเพื่อนชาวเยอรมันคนหนึ่งที่ชื่อโจโดยบังเอิญ เราเคยพักที่แบคแพคเกอร์เดียวกันใน Auckland ผมพบเธอระหว่างที่ผมกำลังเดินเล่นอยู่บนฟุตบาทเพื่อที่จะไปซื้อของ ซึ่งเธอเองก็เดินสวนมากับเพื่อนในทิศทางตรงกันข้าม เธอเองก็ช๊อคไม่น้อยไปกว่าผม หลังจากนั้นเราก็ไปหาที่นั่งคุยกัน ถามข่าวคราวของกันและกันหลังจากที่แยกกันมาจากที่ Auckland เธอทำงานในร้านเบเกอรี่ในเมืองนี้มาซักระยะแล้ว และก็ดูสบายดี เราคุยกันได้ไม่นานนักก็แยกจากกัน เพราะผมจะอยู่เมืองนี้อีกไม่กี่วันและวันต่อมาผมก็ได้จองทัวร์ไปเที่ยว Milford Sound ไว้เรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งที่น่าประทับใจ และการที่ได้พบกันโดยบังเอิธอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้จะยังคงเป็นความทรงจำที่น่าเหลือเชื่อเสมอ เธอบอกผมว่าคนมักพูดกันว่าการพบกันอีกครั้งของคนที่รู้จักกันแล้วในนิวซีแลนด์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายและบ่อยมาก อาจเป็นเพราะพวกนักเดินทางอย่างเราๆมักจะชอบย้ายเมืองเป็นประจำก็ได้
หลังจากกลับมาที่โรงแรมและตั้งใจที่จะนอนที่นี่อีกคืน ผมก็พบว่าผมได้รูมเมทคนใหม่ เธอคนนี้เป็นชาวอิตาลีแต่ย้ายไปอยู่ไอแลนด์ได้กว่าสิบปีแล้ว พอดีเธอบ่นอยากซักผ้าซึ่งผมก็อยากจะซักอยู่พอดี เราจึงตกลงที่จะหุ้นตังกันเพื่อหยอดเหรียญเครื่องซักผ้า หลังจากนั้นเราก็ทำอาหารเย็นกินกัน เมนูที่ผมมักจะกินเป็นประจำในช่วงอากาศเย็นๆแบบนี้ก็เห็นจะเป็นต้มมาม่า แต่โปรดอย่าเข้าใจผิดว่าผมขาดแคลนอะไรนะ เครื่องที่ผมใส่นั้นจัดเต็มทั้งเนื้อและผัก ทำงัยได้ ใช่ว่าร้านก๋วยเตี๋ยวแถวนี้จะเยอะแยะเหมือนบ้านเรา และบะหมี่ห่อแบบนี้ก็พกพาง่าย ทั้งรสชาดก็ดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็ไม่ได้พึ่งมันทุกวันนะ แค่จะบอกว่าสิ่งนี้เป็นไอเท็มที่ดีชิ้นหนึ่งสำหรับการเดินทาง
Milford Sound เป็นอารมณ์คล้ายๆภูเขาและเกาะแก่งเล็กบ้างใหญ่บ้างกระจายตัวออกมาจากแผ่นดินใหญ่ ก่อนที่จะค่อยๆลดจำนวนลงและเปิดออกสู่ทะเลหรือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ต่อไป เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นการรวมตัวกันของแมกไม้ ภูเขา น้ำตกและน้ำทะเล ผสมกับแสงแดดที่สาดลงมากระทบหินผา จึงทำให้การล่องเรือไปตามสายน้ำระหว่างหินผาทั้งสองด้านดูเป็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจ นอกจากนี้ บริเวณที่ผ่านน้ำตก เราจะสามารถพบกลุ่มแมวน้ำที่มาจับกลุ่มพักผ่อนบนโขดหินบริเวณนั้นได้ด้วย
ทริปท่องเที่ยวนี้ผมซื้อจากพนักงานต้อนรับของโรงแรม ราคาหากตีเป็นเงินไทยก็ไม่เกิน 3,000 บาท โดยรถตู้จะใช้เวลาเดินทางจากเมือง Te Anu ไปถึงจุดหมายประมาณสองชั่วโมง ระหว่างทางคนขับรถก็จะจอดแวะตามจุดที่น่าสนใจต่างๆ ขอบอกตามตรงว่าวิวทิวทัศน์ระหว่างทางนั้นสวยงามมาก ผมรู้สึกเหมือนว่ารถกำลังเคลื่อนตัวไปในดินแดนสวรรค์ที่มีปลายทางเป็นท่าเรือ
ที่นี่มีบริษัทเรือมากมายหลายแบบไว้คอยบริการลูกค้า ซึ่งราคาและขอบเขตการให้บริการก็แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตามบริการที่ผมซื้อไว้มีบริการนั่งเรือรวมอยู่ด้วยแล้ว ทั้งยังแจกทาโก้ให้บนเรือเพื่อเป็นอาหารกลางวันอีกต่างหาก ถ้าถามผมตรงๆผมก็อยากจะบอกว่า วิวในระหว่างการล่องเรือนั้นก็สวยอยู่ แต่วิวในระหว่างการเดินทางมาท่าเรือนั้นสวยกว่า แต่การจ่ายค่าบริการเกือบร้อยเหรียญกับบริการนี้ก็นับว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามาก แต่หากผมได้มีโอกาสมาที่นี่ในครั้งต่อไป ผมน่าจะเลือกเช่ารถแล้วขับมาเอง หรือไม่ก็ซื้อคันเก่าๆเป็นของตัวเองสักคันไปเลย เอาแบบที่สามารถนอนได้ด้วย เพราะบางทีตอนผมเที่ยวผมมักจะชอบจอดรถ หาอะไรกิน บางทีก็แค่นั่งดื่มด่ำกับวิวสวยๆรอบตัว เดินตาม Track ในป่าที่สามารถพบได้บ่อยมากใน NZ แค่นี้ผมก็ตื่นตาตื่นใจและสนุกมากพอแล้ว เอาเป็นว่าผมขอจบทริป Milford Sound เพียงเท่านี้ละกัน
ด้วยความเพลียจากการเดินทางผมจึงเข้านอนแต่หัวค่ำ ตื่นมาอีกทีก็เช้าแล้วพร้อมกับไม่มีแผนตายตัวว่าจะทำอะไร ก็พอดีกับที่รูมเมทของผมกำลังแพคกระเป๋า ผมจึงถามเธอว่ากำลังจะไปเมืองไหน เธอว่าเธอจะไป Queens Town และก็จะเดินทางคนเดียวด้วยรถที่เธอเช่ามา ผมจึงถามว่าถ้าผมจะขอติดรถไปด้วยจะได้ไหม ผมยินดีที่จะช่วยค่าน้ำมัน เธอตอบตกลงโดยที่ไม่ได้ลังเลอะไร เอาเป็นว่าเราเดินทางไป Queens Town ด้วยกันโดยที่เธอเป็นคนขับ
ระหว่างทางเราก็แวะจอดที่ร้านขายน้ำผึ้ง ผมซื้อให้ตัวเองหนึ่งกระปุกและซื้อให้เธออีกหนึ่งกระปุกเพื่อเป็นการขอบคุณ พวกเราไม่ได้มีที่ที่จะแวะเจาะจงอะไร แค่วิ่งรถไปตามทางและหากสังเกตเห็นวิวตรงไหนน่าสนใจเราก็จะหยุดจอดถ่ายรูป ระหว่างทางผมก็เล่าเรื่องของผมให้เธอฟังเพลินๆไปด้วย ก็พอดีเห็นป้ายทะเลสาบชื่ออะไรสักอย่างหนึ่งอยู่ข้างทาง ผมจึงขอให้เธอขับเข้าไป สิ่งที่พบก็คือทะเลสาบน้ำสีฟ้าใสที่ปกคลุมอยู่เหนือก้อนหินกรวดสีขาว ที่หากแลดูเผินๆก็จะเหมือนกับชายหาด บวกกับท้องฟ้าที่มีเมฆปกคลุมบางๆที่กำลังเคลื่อนตัวไปตามสายลมที่ไม่เร็วหรือช้าไป พวกเรานั่งอยู่ริมทะเลสาบมองดูความสวยงามและความกว้างใหญ่อันวิจิตร นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้อยู่ต่อหน้าทะเลสาบขนาดใหญ่ในต่างประเทศที่คล้ายกับภาพทะเลสาบที่ผมมักจะเห็นในโปสการ์ด
ผมถามเธอว่าอยากลองลงไปเล่นน้ำไหม เธอก็ทำท่าลังเล สำหรับเธอแล้ววิวทิวทัศน์ในเขตหนาวแบบนี้อาจเป็นสิ่งที่เธอคุ้นเคยอยู่แล้วในยุโรป แต่สำหรับผมมันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมาก ผมยืนขึ้นถอดเสื้อกันหนาว ถอดเสื้อออกแล้วเหลือไว้เพียงกางเกงขาสั้นแล้วค่อยๆก้าวลงน้ำอย่างกระตือรือร้น พร้อมกับหันหลังชวนให้เธอลงมาด้วย เธอเหมือนจะยังไม่ทันตั้งตัวแต่ก็ทำทีไหลไปตามสถานการณ์ เธอบอกว่าขอไปเปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำก่อน สุดท้ายเราก็ได้อยู่ในทะเลสาบด้วยกัน ซึ่งผมเพิ่งจะได้คิดและได้รู้สึกว่า จริงๆแล้วน้ำนั้นเย็นมาก ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็น่าจะเหมือนกับการกระโดดลงไปในคลองทางภาคเหนือในฤดูหนาวนั่นแหละ ผมจำได้ว่าผมอยู่แช่ในน้ำไม่น่าจะเกิน 15 นาที โชคดีที่แดดในช่วงเก้าโมงเช้านั้นแรงพอสมควรและก็พอจะช่วยให้รู้สึกอุ่นได้บ้าง ผมหัวเราะกับตัวเองและสนุกในตลอดช่วงเวลานั้นถึงแม้ว่าตัวเองจะสั่นเพราะความหนาวเย็นก็ตาม
ไปๆมาๆเธอกลับทนความหนาวได้มากกว่าผมเสียอีก มีโพสท่าให้ผมถ่ายรูปตอนอยู่ในน้ำด้วย ผมดีใจที่เราทั้งคู่ต่างรู้สึกสนุกกับสิ่งที่เพิ่งได้ตัดสินใจทำลงไป แม้ว่าคนในระแวกนั้นที่กำลังพาหมามาเดินเล่นในตอนเช้าอาจจะมองการกระทำนี้ว่าเพี้ยนก็ตาม ที่พาตัวเองลงไปแช่ในน้ำในขณะที่อากาศหนาวเย็นแบบนั้น แต่ผมมองว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ดีมากเพราะมันเป็นไอเดียที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกในขณะนั้น ซึ่งมันก็ไม่ได้ส่งผลให้ใครเดือดร้อนหรือเป็นการเสี่ยงอันตรายอะไรนัก สิ่งนี้แหละที่ผมเรียกมันว่า การเที่ยวแบบไม่มีแผนการ ด้วยการสนุกไปกับความคิดสร้างสรรค์และสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
No comments:
Post a Comment