ผมอยู่ที่บ้านน้าประมาณสองเดือน
ทำงานในฐานะแรงงานรายวัน จ่ายค่าที่พักทุกสัปดาห์ เพราะระบบของที่โน้นคือ
คุณจะได้เงินเป็นรายสัปดาห์ ต่อจากนี้ผมจะขออธิบายการบริหารรายรับของผมแบบคร่าวๆนะครับ
ตอนที่ผมอยู่ที่นั่น สมมุติว่าโดยเฉลี่ยแล้วผมจะมีโอกาสได้ทำงานห้าวันต่อสัปดาห์
จริงๆแล้วถ้าผมสามารถทำงานในวันเสาร์-
อาทิตย์ได้ด้วยผมก็มักจะไปทำ เพราะถ้าให้บอกตามตรง
งานเหล่านี้อาจดูเหมือนเหนื่อยและกินเวลามากในแต่ละวัน แต่สำหรับผม มันคือการได้ออกไปใกล้ชิดกับต้นไม้และธรรมชาติ ได้ไปอยู่ในที่โล่งๆอากาศดีๆ
การได้เห็นวิวทิวทัศน์ข้างทางในตอนเช้า ที่อาจดูเหมือนเป็นงานศิลปะที่เคลื่อนที่ไปตามแต่หน้าต่างกระจกรถจะพาไป
การได้ทำงานที่ไม่ต้องใช้ความคิดอะไรมาก
สามารถฟังอะไรๆที่เราชอบได้ระหว่างการทำงาน การได้ขยับร่างกาย ได้เคลื่อนไหวไปมา
สำหรับผมมันคือการออกกำลังกายไปในตัว
เวลาทำงานก็ทำไปตามความเร็วของทีม ไม่เร็วและไม่ช้าจนเกินไป
เพราะสุดท้ายแล้วมันก็เป็นเรื่องระหว่างทีมของเรากับผู้จ้าง
ไม่ใช่ระหว่างใครคนใดคนหนึ่งกับผู้จ้าง ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องรีบร้อนอะไร
ทำตัวไปตามน้ำ ปล่อยให้เวลาไหลลื่นไป โดยไม่ไปยึดติดกับแดดร้อนๆ
มองมันผ่านๆแล้วมันก็จะผ่านไปเอง สักพักก็จะเริ่มไม่รู้สึกอะไรกับมันไปเอง(หรือที่เค้าเรียกกันว่าความชินชาก็ได้)
โทษทีนะครับผมหลุดไปไกลแล้ว
มาพูดถึงการบริหารรายรับกันต่อ สมมุติว่า ในหนึ่งสัปดาห์มีวันที่ฝนตกโดยเฉลี่ยอยู่สองวัน
ซึ่งมักเป็นวันที่คนทำงานสวนจะได้หยุดอยู่บ้าน
ดังนั้นสัปดาห์หนึ่งก็อาจมีโอกาสได้ทำงานห้าวัน วันหนึ่งๆหากทำงานที่ได้รายรับเป็นค่าแรงขั้นต่ำ
หลังจากหักภาษีแล้ว เงินที่ได้จริงๆจะอยู่ที่ประมาน 120 เหรียญ หากได้รายรับแบบนี้ครบห้าวันก็จะทำให้มีรายรับโดยเฉลี่ยต่อสัปดาห์ประมาณ
600 เหรียญ
ค่าที่พักในแต่ละแห่งที่ผมไปพักก็จะอยู่ที่ประมาณ 100-130 เหรียญ ค่ากินซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่บุคคล แต่โดยเฉลี่ยก็จะตกมื้อละ 15 เหรียญ
ราคานี้คุณภาพอาหารที่ได้ก็จะประมาณว่าหากอยู่ที่ไทยก็จะเป็นกระเพราไข่ดาวพร้อมเครื่องดื่มเย็นๆหนึ่งแก้ว
คือไม่ได้ถึงกับหรูแต่ก็อิ่มอย่างมีคุณภาพ
แต่ถ้าฉลาดซื้อวัตถุดิบจากซูปเปอร์มาเก็ตมาทำเอง เช่น เนื้อสัตว์ ผัก ข้าวสาร
หรือไม่ก็กินกับคนที่เราพักด้วยบ้าง หากมีโอกาสก็ซื้ออะไรมาตอบแทนเค้าบ้าง
ล้างจานให้บ้าง ก็จะสามารถเซฟเงินไปได้อีกพอสมควร ค่าเติมเงินโทรศัพท์ประมาณ 30 เหรียญต่อเดือน ค่าเติมน้ำมันรถประมาณ 25 เหรียญต่อสัปดาห์ เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ
สองอย่างนี้หากไม่ติดได้ จะประหยัดเงินไปได้มาก โดยเฉลี่ยแล้วผมจะเก็บเงินได้ขั้นต่ำประมาณ
300 เหรียญหรือมากกว่าในแต่ละสัปดาห์ ซึ่งก็แล้วแต่สถานการณ์
อาจมีต่ำกว่านี้บ้างหากมีการเปลี่ยนแปลงแต่ก็น้อยครั้งมาก
แต่ผมก็มักจะคิดเล่นๆว่า
แม้ว่าบางสัปดาห์จะเก็บเงินได้น้อยกว่า 300 เหรียญเนื่องด้วยความจำเป็นและเหตุสุดวิสัย
แต่บางสัปดาห์ที่เก็บได้มากกว่า 300 เหรียญก็จะเป็นการชดเชยกันไป
การคิดแบบนี้จะทำให้ไม่เป็นการกดดันตัวเองมากจนเกินไป โดยเฉลี่ยแล้วผมจะเก็บได้ประมาณ
50% ของรายได้ในแต่ละสัปดาห์
เงินเก็บเหล่านี้มีความสำคัญ
การที่มันค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆจะทำให้เราสามารถมีอิสระในการใช้เวลาขณะที่ต้องวนเวียนอยู่ในสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ
ผมอยู่บ้านน้าทำงานเก็บเงินเป็นเวลากว่าสองเดือนกว่า ผมก็เริ่มรู้สึกว่าผมควรจะต้องเริ่มทำสิ่งที่ผมอยากทำบ้างแล้ว
นั่นก็คือการเดินทางไปในที่ที่ผมอยากจะไป ”การลงเกาะใต้”
มันคือการเอาเงินหรือเวลาของเราไปแลกกับสิ่งที่ต้องการ ลึกๆในใจผมบอกกับตัวเองเสมอว่า
ผมมาถึงที่นี่แล้ว ผมก็ควรจะได้เห็นสิ่งที่ผมอยากเห็น ซึ่งก็คือธรรมชาติที่สวยงามของดินแดน
NZ แห่งนี้
No comments:
Post a Comment