หลังจากที่เรามาถึงเมือง
Queenstown เมืองที่เต็มไปด้วยความสวยงามตามวิถีเมืองผนวกกับธรรมชาติที่รายล้อม
พร้อมกับเสียงดนตรีที่กล่อมเกลา โดยเฉพาะในฤดูร้อนแบบนี้ ที่คนจากทั่วทุกสารทิศต่างมุ่งหน้ามาที่นี่
ไม่ว่าจะเป็นคนในท้องที่เองหรือชาวต่างชาติ
ในตอนที่เราเข้าไปถึงนั้น ที่พักที่เราเข้าไปจองเหลือที่ว่างเพียงไม่กี่ที่
อืม ลืมบอกไปว่าครั้งนี้รูปแบบที่พักเป็นแบบ Holiday Park คือเป็นไปในลักษณะที่เราเข้าไปจองที่ว่าง ซึ่งผมหมายความอย่างนั้นจริงๆ
เป็นต้นว่าเราเสียค่าบริการคนละ 25 เหรียญ/คืนเพื่อการเช่าที่ว่างขนาดประมาณ 8*10 ตารางเมตร สำหรับการจอดรถและกางเต้นบนสนามหญ้า
สิ่งที่ได้มาพร้อมกันก็คือ เสาไฟขนาดสั้นที่อยู่ตรงมุมด้านหนึ่งของพื้นที่เพื่อใช้สำหรับการชาร์จไฟ
สถานที่มีห้องน้ำรวมที่มีน้ำอุ่นไว้บริการและมีห้องครัวขนาดใหญ่เพื่อให้ผู้เข้าพักได้ทำอาหารด้วย
ทั้งหมดนี้คือบริการที่คุณจะได้รับกับราคาที่ได้บอกไป ไม่เลวเลยใช่ไหมครับสำหรับวิธีคิดของผู้ประกอบการ
อย่างไรก็ตาม สำหรับมุมมองของนักเดินทาง
การที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างที่ได้กล่าวมากับราคาขั้นต่ำในช่วงที่เมืองนี้แออัดไปด้วยนักท่องเที่ยวอย่างในขณะนั้น
บริการระดับนี้ก็เป็นอะไรที่ดูสมเหตุสมผลและดีตามสมควรแล้ว
เราได้จองทริปล่องแพกันไว้ในบ่ายวันนั้น
ซึ่งเป็นอารมณ์แบบล่องแก่งอะครับ ราคาประมาณ 200 เหรียญแลกกับระยะเวลาประมาณ
5 ชั่วโมงของการให้บริการ โดยมีรถเข้ามารับในเมืองเพื่อออกไปที่แคมป์
จากนั้นก็ต้องเปลี่ยนชุด ที่ผมไม่รู้ว่าเขาเรียกว่าอะไร
ไอที่ใส่แบบแนบเนื้อทั้งตัวแล้วมีซิปรูดเหมือนกับที่นักดำน้ำเขาใส่กันอะครับ
และทับอีกชั้นด้วยเสื้อชูชีพ หมวกกันน็อคแล้วก็ไม้พายคนละอัน จากนั้นเราก็จะจัดทีมกันโดยเรือยางหนึ่งลำจะบรรทุกผู้โดยสารได้หกคน
และผู้นำซึ่งเป็นคนของบริษัทอีกหนึ่งคนรวมทั้งหมดเป็นเจ็ดคน
จากนั้นพวกเราก็ล่องเรือไปตามลำธารที่น้ำค่อนข้างเชี่ยว
ผู้นำจะสาธิตและให้เราฝึกใช้ไม้พายให้คุ้นเคย ก่อนที่จะนำเรือเคลื่อนไปสู่บริเวณที่กระแสน้ำเชี่ยวมากขึ้น
ระหว่างทางผู้นำจะชวนลูกเรือคุยโน่นคุยนี่ ซึ่งผมแทบจะไม่ค่อยเข้าใจเลยเพราะสำเนียงของคนที่นี่เป็นอะไรที่ผมไม่รู้สึกคุ้นเลย
แต่หากเป็นคนอเมริกันอีกสองคนที่นั่งร่วมมาด้วยในเรือพูดอะไรกัน ผมก็สามารถเข้าใจได้ไม่ยาก
แต่ดีที่กิจกรรมนี้เป็นเรื่องของการล่องเรือ ผมจึงมุ่งความสนใจไปที่สายน้ำและวิวทิวทัศน์
จึงไม่ทำให้ผมเสียความมั่นใจหรือรู้สึกเบื่อจนเกินไป
อย่างไรก็ตามหลังจากการเดินทางทั้งหมดจนขึ้นมาจากน้ำ
ถ้าให้พูดตามความรู้สึก ผมกลับไม่รู้สึกสนุกอะไรนัก
อาจเป็นเพราะผมรำคาญที่ผู้นำโม้โน้นโม้นี่ (แล้วผมก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องด้วยสิ)
บวกกับผมไม่ค่อยรู้สึกตื่นเต้นอะไรเลยที่ต้องมีคนมาคอยบอกให้ผมทำโน่นทำนี่ทั้งๆที่เราต่างก็รู้อยู่แล้วว่าในที่สุดทุกคนจะปลอดภัย
และจะได้ขึ้นฝั่งเพื่อกลับที่พัก
เมื่อเจอเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยสบอารมณ์ทำนองนี้ ผมก็มักจะทำเป็นมองข้ามสิ่งที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนมามองหาสิ่งที่ผมรู้สึกว่ามีประโยชน์
ยกตัวอย่างจากเรื่องนี้เช่น การได้มีโอกาสทำกิจกรรมที่เราไม่เคยทำ
การได้อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่เราไม่คุ้นเคย การได้ลองใส่เสื้อผ้าที่เราไม่เคยใส่
การที่มีโอกาสได้มาเป็นเพื่อนกับเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันและการปล่อยตัวให้ลื่นไหลไปตามสถานการณ์
เป็นต้น
การเลือกมองสิ่งเหล่านี้ในสถานการณ์เช่นนี้ทำให้ผมไม่รู้สึกเสียดายเวลาและเงินมากนัก
แต่จะมองว่ามันเป็นการใช้เงินเพื่อซื้อความรู้สึกที่ผมเคยสงสัยก็เท่านั้น
เย็นวันนั้นผมกับเพื่อนก็ได้ไปเดินเล่นเพื่อหาอะไรกินที่ชายหาดใกล้ๆที่พัก
ช่วงเวลานี้ของที่นี่คนดูเยอะเหลือเกิน จากที่ผมเคยคิดมาตลอดว่าที่ NZ คนน้อย แต่พอได้มาเห็นชายหาดของที่นี่ในตอนนี้ ผมก็ชักจะไม่ค่อยแน่ใจแล้ว
หลังจากอาหารเย็น(Fish and Chips)อาหารธรรมดาของท้องถิ่นนี้
ซึ่งก็คือเฟรนฟรายหรือพวกมันฝรั่งทอดหรืออบ ที่เสริฟคู่กับเนื้อปลาชุปแป้งทอดพร้อมกับซอสมะเขือเทศ
จะว่าไปก็เหมือนกับร้านไก่ทอดนั่นแหละเพียงแต่เปลี่ยนจากไก่มาเป็นปลา
ซึ่งก็เหมาะกับลักษณะของภูมิประเทศนี้ที่ล้อมรอบไปด้วยน้ำทะเลรอบด้าน
หลังจากนั่งกินอาหารริมชายหาดกันเรียบร้อย เพื่อนผมก็จะไปต่อที่บาร์แห่งหนึ่ง
ส่วนผมเนื่องจากไม่ค่อยชอบอะไรวุ่นวายอยู่แล้ว ก็ขอตัวไปกางเต้นท์เพื่อพักผ่อนก่อน
เธอบอกว่ามีเต็นท์อยู่หลังรถพร้อมกับให้กุญแจรถกับผมมาด้วย
เราตกลงกันว่าคืนนี้ผมจะนอนในเต็นท์ ส่วนเธอจะนอนในรถบนเบาะผู้โดยสาร ซึ่งเธอก็มักจะทำเป็นประจำอยู่แล้วตอนเดินทาง
คืนนั้นผมนอนในเต็นท์แต่ก็หลับไม่ค่อยสนิทนักเพราะมันหนาวเกินไป
แม้ถุงนอนที่ผมเอามาจากที่ไทยก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก อย่างไรก็ตามในที่สุด คืนนั้นก็ผ่านไป
เช้าวันต่อมาผมก็แยกกับเธอเพราะเธอจะไปต่อกับกิจกรรม Sky Diving ส่วนผมจะเดินทางไปต่อที่ทะเลสาบ Wanaka ด้วยรถบัส เหตุผมที่ผมเลือกที่นี่ก็เพราะไม่มีเหตุผล
ก็เพียงแค่เห็นมันว่าเป็นเมืองที่ใกล้กับเมือง Queen town ในแผนที่ก็เท่านั้น ซึ่งรถบัสที่ผมนั่งมานั้นมีผู้โดยสารนั่งมาทั้งคันไม่ถึงห้าคน
ผมยังสงสัยอยู่นิดๆว่าเขาจะได้กำไรไหมน้า...
และในที่สุดผมก็มาถึงเมืองใหม่ในบ่ายของวันนั้น และเข้าพักในแบคแพคเกอร์แห่งหนึ่ง
ผมได้เจอกับผู้คนกลุ่มใหม่ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน คุยว่าแต่ละคนเคยไปทำอะไรมา
แล้วเขามองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร แต่ละคนมีจุดเปลี่ยนในชีวิตอย่างไรบ้าง
และอะไรเป็นสิ่งจุดประกายความเปลี่ยนแปลงนั้น สิ่งเหล่านี้ช่างเป็นอะไรที่ผมชอบเสมอในการเดินทางแต่ละครั้ง
และนี่ก็คืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ผมชอบการเดินทางคนเดียว แล้วไปเจอเพื่อนใหม่ๆระหว่างทาง
ผมพักที่แบคแพคเกอร์นี้หนึ่งคืนและย้ายไปพักในที่ใหม่อีกหนึ่งคืนในเมืองเดียวกัน
เหตุผลก็เพียงแค่ต้องการเปลี่ยนบรรยากาศและได้ดูลักษณะการจัดห้องในแต่ละที่ที่ได้ไป
เพื่อเป็นการเพิ่มมุมมองและทิวทัศน์ใหม่ๆ
บ่ายวันนั้นผมมีโอกาสได้เจอเพื่อนชาวอิตาลีคนนั้นอีกครั้งหลังจากที่เธอได้ไปกระโดด
Sky Diving มาแล้ว เธอขับตามขึ้นมาที่เมือง Wanaka เช่นกัน ผมชวนเธอกินข้าวเย็น
หลังจากนั้นผู้คนแปลกหน้าก็มารวมตัวกันในห้องนั่งเล่น เพื่อจับกลุ่มแลกเปลี่ยนข้อมูลถึงสถานที่ที่แต่ละคนได้ไปสัมผัสมา
อย่างไรก็ตามคืนนี้เธอไม่ได้จองที่พักไว้และเคาเตอร์รีเซฟชั่นก็ปิดไปแล้ว
ผมจึงเสนอให้เธอไปนอนเตียงที่ผมจองไว้ ส่วนผมจะนอนที่ห้องนั่งเล่นเอง เธอก็เกรงใจเกินไป
(แต่ถ้าเป็นผมอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเธอก็คงจะรู้สึกแปลกๆเช่นกัน ) อย่างไรก็ตาม เธอก็ลองทำตามคำแนะนำของผม นั่นคือทำเป็นเนียนปิดไฟมืดในห้องนั่งเล่น
แล้วก็นอนบนโซฟานั่นเลย พอผมตื่นเช้าออกมาผมก็ไม่เห็นรถของเธอแล้ว
แต่ผมมารู้อีกทีก็ตอนที่เราเมสเสสคุยกันตอนเช้าว่า เธอนอนอยู่ที่นั่นได้จนถึงเที่ยงคืนจนมีแม่บ้านเข้ามาปลุก
ซึ่งทำให้เธอต้องออกไปนอนในรถตามเคย
No comments:
Post a Comment