ชีวิตวันๆของผมผ่านไปกับการทำงานอย่างเต็มที่ในแต่ละวัน
เหมือนกับว่าเป้าหมายเดียวของผมตอนนั้นคือการทำงานเก็บเงิน บางงานนายจ้างจะเลือกจ่ายเป็นแบบ
contract เป็นต้นว่า รายได้จะมาจากจำนวนงานที่คุณทำสำเร็จ
โดยไม่ได้สนใจระยะเวลาที่คุณทำงานนั้น นั่นหมายความว่า ในกลุ่มแรงงานกลุ่มหนึ่ง
จะมีคนที่ได้ค่าแรงมากกว่าคนอื่น
เนื่องจากเขาใช้เวลาเท่ากันแต่สามารถทำงานให้สำเร็จมากกว่า
ผมรู้สึกว่าวิธีนี้ดูยุติธรรมดีในมุมมองของการทำงาน แต่อาจจะมองดูใจร้ายไปบ้าง
หากมีเด็กใหม่สักคนที่ยังไม่มีประสบการณ์กับงานนั้นเข้าไปร่วมวงด้วย แต่นี่ก็จะเป็นสถานการณ์ที่ทำให้เขาอยากที่จะพัฒนาตัวเองได้ดีที่สุด
หากเขาต้องการผลตอบแทนที่มากขึ้น
ระบบเช่นนี้สะกิดให้ผมคิดอะไรๆได้หลายอย่าง ซึ่งผมไม่เคยได้ตระหนักมาก่อน
ก่อนจะเล่าต่อไป ผมต้องขอออกตัวก่อนว่า
ผมเกิดมาในพื้นฐานครอบครัวที่พ่อแม่ได้รับผลตอบแทนเป็นเงินเดือน
นั่นคือสิ่งที่ผมคุ้นเคย ผมไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับงานขาย
แต่ด้วยระบบการจ่ายเงินแบบ contract ที่ผมกำลังเผชิญอยู่นี้
ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมกำลังทำงานขายสินค้าที่เป็นตัวงานที่สำเร็จของผมให้กับนายจ้าง
ในขณะที่หากงานนั้นให้ค่าตอบแทนเป็นรายชั่วโมง นั่นหมายความว่าลูกจ้างกำลังขายเวลาและแรงงานของตัวเองให้กับนายจ้างอย่างตรงไปตรงมา
แน่นอนว่าในกรณีอย่างหลัง สำหรับผู้ทำงานแล้ว อาจไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเองอะไรมากนัก
เพราะถึงอย่างไรเวลาก็ยังคงเดินไปข้างหน้า และผลลัพธ์ก็จะได้ตามเวลาที่เดินไป
แต่หากเป็นงาน contract หรือที่จ่ายเป็นชิ้นงาน การอยู่เฉยๆ ทำงานแบบชิวๆ
แล้วให้เวลาผ่านไป กลับไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นนัก นั่นจึงทำให้งานรูปแบบนี้บังคับให้แรงงานแต่ละคนใช้สมรรถนะของตัวเองอย่างเต็มที่
เพื่อที่จะได้มีส่วนในเค๊กก้อนใหญ่ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
และนี่คือการผลิตสินค้าซึ่งก็คือตัวผลงานในระบบที่มีเจ้าของระบบดูแลอยู่
เจ้าของระบบหรือเจ้าของสวน นอกจากจะต้องจ่ายค่าแรงงานตามฤดูกาลต่างๆ
ที่พืชต้องการการดูแลแตกต่างกันออกไปแล้ว เขายังต้องจ่ายค่าปุ๋ย ค่าน้ำ ค่าไฟ
ค่าพนักงานทำบัญชี จ่ายภาษี หาลูกค้า โปรโมทสินค้า ฯลฯ
และทั้งหมดทั้งมวลก็คือต้นทุนของผลิตภัณฑ์ที่เขาขายออกไป เจ้าของสวนไม่จำเป็นต้องทำงานโดยขึ้นกับเวลาแบบร้อยเปอร์เซ็นต์
เขาอาจจะเลือกทำงานเองในบางส่วนที่เขาถนัดหรือจ้างผู้เชี่ยวชาญมาดูแลบางเรื่องแทนเขาก็ได้ แต่ท้ายที่สุด
หลังจากหักต้นทุนในการผลิตทั้งหมดที่เขาต้องจ่ายออกไปแล้ว
เงินส่วนที่เหลือก็คือค่าแรงงานทั้งในรูปของแรงกายและพลังความคิดที่เขาใช้ไปทั้งหมดไปกับงานในฤดูกาลนั้น
และทั้งหมดนั่นก็คือค่าตอบแทนให้กับเวลาในชีวิตของเขาที่เสียไปให้กับงานชิ้นนั้น
ซึ่งก็ดูสมเหตุสมผลดีที่ว่า
ผู้ที่เสี่ยงและลงทุนมากที่สุดก็ควรที่จะได้ผลตอบแทนที่สมเหตุสมผล
แล้วถ้าเราอยากจะเป็นแบบเขาบ้างล่ะ จะเป็นไปได้ไหม? เป็นผู้ดูแลระบบที่รับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดอยู่เบื้องหลัง
งานที่ใช้ร่างกายทำอย่างหนักทั้งวัน เราจะอดทนทำเช่นนี้ไปได้อย่างมากสักกี่ปี
คนเราต้องแก่ และร่างกายก็เป็นสิ่งที่เสื่อมสภาพได้ และนี่ก็คือความจริง
ผมรู้สึกลึกๆว่า
การเริ่มต้นทำอะไรตั้งแต่เมื่ออายุน้อยๆอาจจะง่ายกว่าเนื่องจากไม่มีขีดจำกัดในเรื่องสมรรถนะทางร่างกายมากนัก
หากตอนนี้มีใครมาถามผมว่าอยากจะทำอาชีพอะไร ลึกๆจริงๆผมอยากจะบอกว่า
ผมไม่อยากจะต้องทำอะไรเลยแต่ก็ยังมีเงินใช้
แต่มันอาจจะฟังดูผิดธรรมชาติเกินไปหากมันไม่มีที่มาที่ไปอย่างเหมาะสม
แต่ถ้าหากจะต้องทำอะไรจริงๆ ผมก็คงอยากจะเป็นผู้ดูแลอะไรสักอย่างที่ผมมีอำนาจควบคุมมัน
มีอิสระที่จะตัดสินใจ และรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
และหากสิ่งที่ว่านั้นจำเป็นต้องใช้เงินในการลงทุน
ผมในขณะนี้ก็กำลังสะสมเงินทุนก้อนนั้นอยู่อย่างค่อยเป็นค่อยไป
ในบางช่วงเวลาที่ผมรู้สึกเหนื่อยหรืออ่อนล้าในขณะที่ทำงานในสวน
การที่ผมขยับแขนขาไปทีละสเต็ปนั้น ผมจะจินตนาการว่าก้าวอีกก้าว และอีกก้าวของผมนั้น
เป็นการเดินเข้าใกล้อิสระภาพนั้นไปเรื่อยๆ และมันคงจะไม่เกิดขึ้นแน่
หากผมจะหยุดขยับอยู่เพียงเท่านี้ และนี่คือวิธีการที่ผมดึงพลังงานออกมาใช้
ในยามที่ดูเหมือนว่ามันจะหมดไปแล้ว
ในช่วงปลายของฤดูกาลพรุนนิ่ง
เจ้าของบ้านที่ผมเช่าอยู่ต้องการที่จะย้ายไปอยู่ที่อื่น
นั่นทำให้ผมจำเป็นต้องย้ายออกเช่นกัน
การช่วยพวกเขาเก็บกวาดบ้านและย้ายของไม่ใช่งานเบานัก
แต่ก็เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ผมสามารถเพลิดเพลินได้
ผมยังรู้สึกด้วยว่าเป็นการตอบแทนที่พวกเขาเคยทำอาหารให้ผมกินตั้งหลายมื้อขณะอยู่ที่นี่
และในช่วงเวลานี้ ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่เพื่อนของผมคนหนึ่งกำลังจะกลับไทย
เธอพยายามจะขายรถแต่ก็ยังทำไม่ได้สักที เธอจึงเสนอขายให้ผมในราคาหนึ่งพันเหรียญ
แน่นอนว่า ผมรู้ตัวดีว่าตอนนั้นผมมีรถอยู่สองคันแล้ว แต่ทั้งความโลภและความอยากช่วยเพื่อนก็ทำให้ผมตกลงกับข้อเสนอนี้
แม้ว่าในใจผมจะอยากให้ราคากับเธอมากกว่านี้ เพราะผมรู้ดีว่าเธอต้องจ่ายค่าอะไรต่อมิอะไรในการซ่อมบำรุงเมื่อตอนที่เธออยู่กับมัน
แต่ผมก็ได้แต่บอกว่า หากสุดท้ายผมสามารถขายต่อได้ในราคาที่สูงกว่านี้
ผมยินดีที่จะให้ส่วนแบ่งเพิ่ม แต่ผมก็พูดได้แค่นั้น
ในอีกมุมหนึ่ง
การซื้อมันมาในราคานี้ก็อาจจะช่วยให้การปล่อยมันออกไปไม่ได้เป็นเรื่องยากนัก
เพราะผมอาจไม่จำเป็นต้องตั้งราคาขายให้สูงจนเกินไปที่อาจจะทำให้หาผู้ซื้อได้ยาก
อย่างไรก็ตาม สรุปก็คือในขณะนี้ผมมีรถในครอบครองอยู่สามคัน
No comments:
Post a Comment