หลังจากนั้นผมก็เดินออกมาจากสนามบินมาคนเดียวแบบงงๆ
อะไรๆก็ดูแปลกหูแปลกตาไปหมด อากาศข้างนอกก็เย็นจนสามารถเรียกว่าหนาวได้แล้วเพียงแต่ผมยังงงอยู่ก็เลยยังรู้สึกช้าอยู่
แล้วเอางัยต่อล่ะ? ก่อนการเดินทางผมได้จองแบคแพคเกอร์ทางออนไลน์ไว้แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในตัวเมือง
และก็รู้ข้อมูลมาว่า ที่สนามบินจะมีบริการรถบัสเพื่อขนส่งผู้โดยสารเข้าเมืองไว้คอยบริการตลอด
24 ชม
ผมเดินไปซื้อตั๋วและได้โบวชัวแผนที่เมืองมาแผ่นหนึ่ง ในนั้นมีจุดที่รถบัสจอดระบุไว้ด้วย
แต่ผมควรจะลงตรงไหนล่ะจึงจะใกล้กับโรงแรมที่ผมจองไว้ อินเตอเน็ตในโทรศัพท์ก็ยังไม่มี
จะว่าไปแล้วซิมของที่นี่ก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ ผมก็เลยถามคนข้างๆดู
เค้าก็แนะนำให้ลงตรงจุดที่ 5 นะ
ผมก็โอเคๆไป เค้าว่าอย่างไรผมก็ว่าตามนั้น
พอถึงจุดที่จะลง ผมก็คว้ากระเป๋าขึ้นหลังอย่างทุลักทุเล
เพราะมันหนักมากถึง 20 กก แหนะ โควต้าสายการบินให้เท่าไหร่
ผมก็จัดเต็มเลยแบบไม่มีขาด ภาระมันเลยมาตกอยู่ที่หลังผมนี่
ขอให้มองเหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์นะครับ แต่คนมันไม่เคย
มันก็เลยพกกันเหนียวไว้ก่อน พอผมลงมาจากรถพร้อมกระเป๋าที่หนัก แถมยังมีกระเป๋าถือสะพายข้างมาอีกหนึ่งชิ้น
ผมพบว่าข้างนอกมีฝนตกปลอยๆด้วย คนก็เดินกันกวักไกว่ ถ้าจะให้ผมเปรียบถนนเส้นนี้ก็เหมือนกับแถวๆสยามนั่นแหละที่มีห้างร้านติดกระจกตลอดทาง
และยังคงดูคึกคักแม้ในยามดึก
บรรยากาศก็สุดแสนจะเป็นใจ
ฝนตกปรอยๆในยามค่ำคืนที่เหน็บหนาวพร้อมกับกระเป๋าเดินทางที่หนักอึ้งและความงงๆที่ไม่รู้ว่าจะต้องเดินทางไปโรงแรมที่จองไว้ด้วยเส้นทางไหน
ผมจึงทำหน้างงไปสบตากับผู้ชายคนหนึ่งที่เดินถือร่มสวนมา
ผมบอกเขาว่าผมต้องการไปแบคแพคเกอร์ตรงจุดนี้ในแผนที่ พ่อหนุ่มคนนี้ก็ใจดีจริงๆ และบอกกับผมว่า
“ผมคิดว่าผมรู้นะว่าโรงแรมนี้อยู่ตรงไหน เดี๋ยวผมพาไป” ผมก็ ok, thank you very much. พอเริ่มออกเดินเขาก็ถามผมว่าผมชอบอะไรใน NZ ผมก็ตอบแบบขำๆไปว่า “ยังไม่รู้หรอก
ผมก็เพิ่งมาถึงนี่แหละยังไม่ค่อยรู้อะไรเลย” ผมก็ถามเขากลับไปว่า
“แล้วคุณกำลังจะเดินไปไหนหรอ”
เค้าก็ว่าเขากำลังเดินเล่นอยู่ซึ่งเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่งของเขา
ผมก็คิดในใจว่าก็ดีเหมือนกันที่ได้เจอคนที่กำลังเดินเล่นเป็นคนนำทางให้
ผมก็ถามเขาต่อไปว่าเขาทำงานอะไรใน NZ เค้าก็บอกว่า
(ในความเข้าใจของผมนะ เพราะช่วงที่ผมไปอยู่ที่โน้น อย่าว่าแต่ช่วงแรกเลย
แม้แต่ช่วงท้ายๆผมก็ไม่เข้าใจ 100% ผมรู้สึกว่าสำเนียงของคนที่โน้นไม่เหมือนกับของคนอเมริกันที่เรามักคุ้นเคยตามสื่อต่างๆ)
เขาเป็นคนที่ทำงานในสำนักงานขนส่งอะไรนี่แหละ อาจจะเป็นช่างตรวจสภาพรถ
และเขาก็ไม่ใช่คน NZ ดั่งเดิมด้วย
เค้าบอกชื่อประเทศบ้านเกิดของเขาแต่ผมก็จำไม่ได้ พอเดินไปได้เกือบห้านาทีหรืออาจจะเกินไปสักพัก
ผมก็เริ่มคิดว่าไอโรงแรมนั่นมันไกลจากถนนในตัวเมืองขนาดนี้เลยหรือ
เห็นในแผนที่เหมือนไม่น่าห่างกัน ผมก็เริ่มรู้สึกระแวงนิดๆ
แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเอาว่ะเป็นงัยเป็นกัน นายอาจจะคิดมากไปเอง
แต่ผู้ชายคนนี้ก็พาผมลัดเลาะโน่นนี่และเริ่มเป็นจุดที่มีคนน้อยลงเรื่อยๆ
แต่ก็นั่นแหละ ผมก็ทำเป็นใจดีสู้เสือเดินตาม และแล้วเขาก็พาผมมาถึงที่หมายจนได้(
บอกแล้วว่าคิดมากไปเอง คืนแรกที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็คิดเยอะอย่างนี้แหละเนอะ)
ผู้ชายคนนี้ช่วยผมแม้กระทั่งใช้ด้ามร่มเคาะเรียกพนักงานข้างในให้ออกมาเปิดประตูให้
เนื่องจากประตูใช้ระบบคีการ์ด ก่อนจากกันผมก็บอกเขาว่า เมื่อกี้คุณถามผมว่าผมชอบอะไรใน
NZ ใช่มั้ย ที่ผมบอกได้ตอนนี้ก็คือผมชอบคนใน NZ ขอบคุณมากนะคับพร้อมกับท่าทางซาบซึ้งแบบลนๆ
แต่ผมก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ บอกก่อนนะคับว่าผมไม่ใช่เกย์
ผมแค่ชอบพูดความรู้สึกของผมออกมากับคนที่ช่วยผมไว้โดยที่ไม่กั๊กก็เท่านั้น
No comments:
Post a Comment