เป้าหมายต่อไปที่จูงใจผมก็คือ
ภูเขา Egmont ไม่รู้ทำไมภูเขาลูกนี้จึงได้ชื่อนี้มา
ผมได้แรงบันดาลใจมาจากการอ่านหนังสือแผนที่นั่นแหละ ภูเขาลูกนี้กินพื้นที่อยู่บริเวณฝั่งตะวันตกของเกาะเหนือ
ผมจึงตัดสินใจขับเลียบชายฝั่งไป ก่อนที่จะออกจาก Taupo ผมได้ชาร์จไฟใส่มือถือและแบตสำรองไว้จนเต็มจากห้องสมุดในเมือง และได้น้ำดื่มจากก็อกสาธารณะที่เขียนระบุไว้ว่า
Drinking Water ซึ่งผมได้เติมไว้เต็มแกลลอนเช่นเคย
และเมื่อซื้ออาหาร ขนม และผลไม้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงได้เวลาออกเดินทางอีกครั้ง
แม้ว่าผมจะรู้ว่าอยากจะไปที่ไหนเป็นที่ต่อไป
แต่จุดหมายก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะเร่งรีบ สำหรับการท่องเที่ยวแบบนี้
ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำแบบนั้น ผมก็ขับเรื่อยมา
และจอดรถตรงโน้นตรงนี้ที่คิดว่าน่าสนใจ หรืออาจจะแค่วิวสวยๆ
บางครั้งก็ทำให้ผมจอดรถเพื่อออกไปเดินเล่น บางทีอาจจะเป็นป่าของชุมชน
สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ โบสถ์ ฯลฯ
แต่แล้วจุดที่ผมได้มาหยุดพักแรมจริงๆก็ไม่ใช่ที่ภูเขา
Egmont แต่เป็นที่ชายฝั่งหน้าผาที่ติดกับทะเลแห่งหนึ่ง
สถานที่แห่งนี้อาจจะไม่ใช่แหล่งยอดนิยมของนักท่องเที่ยว เพราะผมแทบจะไม่เห็นใครเลย
คล้ายๆกับเป็นทะเลที่ติดกับชุมชนในละแวกนั้น
ผมสังเกตเห็นรอยเป็นวงกว้างตรงพื้นที่ที่ผมจอดรถไม่ไกลนัก
เดาว่าคงมีใครเอารถมาดริปแถวนี้ แต่ด้วยบรรากาศที่เปิดโล่ง
และความรู้สึกที่บอกว่าที่นี่ปลอดภัย ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกวิตกแต่อย่างใด
หลังจากลองมองลงไปตามชั้นหินผาสู่คลื่นทะเลและหาดทรายด้านล่าง
ผมลองประเมินดูว่าพอจะมีทางที่ผมจะไต่ลงไปข้างล่างได้ไหม ผมก็แค่อยากจะไปสำรวจ
ดูๆแล้วก็น่าจะเป็นไปได้และก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร ผมจึงค่อยๆไต่ลงไปทีละชั้นๆ
จากหินก้อนหนึ่งสู่อีกก้อนหนึ่ง จนได้เหยียบพื้นทรายด้านล่างในที่สุด
หากมองจากระดับชายหาด ณ จุดที่ผมยืนอยู่นี้
ที่นี่อาจจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้เลยหากมีการโปรโมทที่ดี
ตามชั้นหินผาที่ผมเพิ่งไต่ลงมานั้น
มีรอยแยกคล้ายเป็นโพรงอยู่หลายแห่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
บางโพรงกว้างพอที่จะเรียกว่าเป็นถ้ำเล็กๆเลยก็ได้ และแม้ว่าแสงข้างนอกจะสว่างจ้า
แต่ผมก็ไม่สามารถมองเข้าไปถึงจุดในสุดของโพรงได้ ผมจึงค่อยๆลองเดินไปข้างใน
ผมได้ยินเสียงหายใจแรงๆดังออกมา ผมรู้ได้ทันทีเลยว่ามีสัตว์บางอย่างอยู่ในนั้น
ซึ่งผมก็ไม่อยากจะรบกวนใครหากนั่นคือเวลาพักผ่อน แต่ผมเดาว่าน่าจะเป็นสิงโตทะเล
เพราะการที่คุณจะได้เห็นสิงโตทะเลและแพนกวินตัวเล็กมาเกาะอยู่ที่โขดหินตามธรรมชาติ
ในตอนที่คุณขับรถเลียบตามชายฝั่งนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง
ผมเดินเล่นและปีนตามก้อนหินต่างๆจนเป็นที่พอใจสักพัก จึงได้ปีนกลับขึ้นมาที่รถ
คืนนั้นตอนช่วงประมาณสามทุ่ม
ผมกำลังอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น
แต่ก็มีเสียงหนึ่งที่ทำให้ผมตกใจรู้สึกตัวขึ้นมา เป็นเสียงคล้ายๆเสียงสัตว์อย่างพวกแมวหรืออะไรก็ไม่อาจรู้ได้
เพราะบรรยากาศรอบตัวมันมืดมาก นอกจากเสียงแล้ว
ผมยังรับรู้ถึงแรงกระแทกที่ล้อรถด้านหน้าอีกด้วย แต่ด้วยความกลัว
ซึ่งสิ่งที่ผมกลัวกว่าเสียงนั้นก็คือ
การต้องตื่นมาตื่นเต้นกับเสียงนั้นจนจิตตื่นแล้วนอนต่อไม่ได้ นั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับผม(การตื่นขึ้นมาแล้วนอนไม่หลับเพราะหายง่วงแล้ว)
ดังนั้นผมจึงทำเป็นไม่สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
และปลอบตัวเองว่าผมได้ล็อคประตูรถไว้ดีแล้วทุกด้าน ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องห่วงอีก
จนผมผล็อยหลับไปในที่สุด
การรู้สึกตัวขึ้นมาในตอนเช้ามืดเป็นบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกพิเศษสุด
แม้แสงอาทิตย์จะยังไม่ขึ้น และไม่มีเสียงไก่โต้งเหมือนบ้านเรา
แต่เพราะสีของฟ้าที่เปลี่ยนไป คุณจะรู้สึกได้ว่านี่เป็นเวลาเช้าแล้ว
พอเริ่มมีแสงตะวันอ่อนๆพอให้ได้สังเกตสิ่งต่างๆได้บ้างแล้ว ผมจึงเดินลงมาจากรถ
และเดินสำรวจสิ่งผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นจากเสียงแปลกๆเมื่อคืน
แต่ผมก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดใด พร้อมกับรู้สึกขอบคุณตัวเองที่เมื่อคืนตัดสินใจนอนต่อไปโดยที่ไม่ลุกออกมาสำรวจ
เพราะพอร่างกายผมตื่นแล้ว ในบางครั้งมันก็ยากที่จะกล่อมให้หลับได้อีก
เช้าวันนั้นเป็นอีกวันของหลายๆวันที่ผมได้นั่งชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า
โดยผมนั่งที่รั้วไม้กั้นหน้าผา พร้อมกับกาแฟอุ่นๆในมือและอากาศที่เย็นกำลังดี
ในขณะเดียวกันก็ชมการโบยบินของนกทะเล คลื่นที่ซัดชายฝั่ง
และยอดหญ้าที่เคลื่อนไหวไปมาเบาๆ นี่แหละเวลาที่ผมรอคอย การได้มาออกทริปแบบนี้มันสุดยอดตรงที่วิวจิบกาแฟตอนเช้าของผมมันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆนี่แหละ
พอดื่มด่ำกับธรรมชาติและความกว้างขวางที่อยู่ตรงหน้าสักพัก
และทำธุระส่วนตัวเป็นที่เรียบร้อย จึงได้เวลาออกเดินทางกันต่อ
No comments:
Post a Comment