ระหว่างที่นั่งรถบัสจาก Hastings มาที่สนามบิน Wellingtonนั้น ก่อนลงจากรถ ผมมีโอกาสได้รู้จักกับคนอินเดียคนหนึ่ง เขาอายุไล่เลี่ยกับผม ซึ่งเขากำลังจะเดินทางกลับอินเดียในค่ำวันนี้ ระหว่างที่พวกเรารอขึ้นเครื่องอยู่ที่สนามบินก็ทำให้มีโอกาสทำความรู้จักกันมากขึ้น เขาเล่าว่าเขาเป็นเจ้าของร้านขายของเล็กๆแห่งหนึ่งใน Hastings ซึ่งเพิ่งจะเริ่มเปิดกิจการได้ไม่นาน แต่ก็ดูว่าน่าจะไปได้สวย
ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้มีโอกาสคุยกับคนที่มีธุรกิจส่วนตัวแบบนี้
และการที่ได้รู้ว่าเขาอายุพอๆกับผม
ก็ยิ่งทำให้เกิดความฮึกเฮิมที่อยากจะทำอะไรเป็นของตัวเองมากขึ้นไปอีก
แผนของผมที่คิดอยู่ในตอนนั้นก็คือ การกลับไปทำสวนผสมในที่ดินของตัวเอง
ผมแค่อยากได้ที่ร่มๆ
และผมก็ชอบเห็นการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของต้นไม้(เอาเป็นว่านั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ในที่นี้ต้องขอพักไว้ก่อน)
ระหว่างที่รอเช็คอิน พวกเราได้ลุกจากที่นั่งเพื่อไปหาที่ชั่งกระเป๋า เพื่อต้องการจะเช็คดูน้ำหนัก
แต่พอเดินกลับมาเพื่อที่จะหาที่นั่งอีกครั้ง ก็กลับดูเป็นเรื่องยากอยู่สักหน่อย เพราะผู้คนในช่วงเย็นดูเพิ่มขึ้นอย่างถนัดตา
เพื่อนใหม่ของผมจึงชวนผมให้นั่งลงกับพื้น ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกเขินๆอยู่นิดๆ
เพราะนอกจากเราสองคนแล้ว ก็ไม่มีใครทำอย่างนี้กันเลย
แม้ว่าผมจะห่วงว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเขาจะมองเราอย่างไร แต่หนุ่มอินเดียคนนี้กลับบอกว่า
“หากเราไม่ไปสนใจพวกเขา มันก็ไม่มีอะไร”
นับว่าเป็นคำพูดและเหตุการณ์ที่มีประโยชน์กับผมมากทีเดียว ระหว่างนั้นเขายังคุยเรื่องการตั้งร้านค้าของเขา
กำไรที่ได้จากการขายสินค้าแต่ละชิ้น การจ้างพนักงาน ฯลฯ ผมรู้สึกสนุกที่ได้มีโอกาสฟังเรื่องพวกนี้
พอลาจากเขามาแล้วในช่วงหัวค่ำ
ผมก็มองหาที่นอนพักโดยใช้มุมโซฟาสงบๆเป็นที่กบดาน พอถึงเวลาประมาณตีสี่กว่าๆผมก็ลุกไปอาบน้ำ
ซึ่งสนามบินแห่งนี้ก็มีสถานที่จัดไว้ให้พร้อมสรรพ ซึ่งผมรู้สึกประทับใจในจุดนี้
เมื่อได้เวลาเช็คอิน ผมก็ดำเนินการผ่านขั้นตอนต่างๆมาอย่างลุล่วง
โดยวีซ่าของผมมีวันหมดอายุตรงกับวันที่ผมบินพอดิบพอดี
นับว่าเป็นเวลาหนึ่งปีกับอีกสามเดือนที่ได้ใช้โควต้าวีซ่าได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ความรู้สึกตอนได้ขึ้นเครื่องกลับไปใกล้บ้านอีกนิดนึงแบบนี้ ทำให้รู้สึกตื่นเต้นนิดๆและอิ่มเอิบใจที่ในที่สุดทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี
ในช่วงที่รอต่อเครื่องที่ออสเตรเลีย ผมได้มีโอกาสใช้อินเตอร์เน็ต
จึงได้เมสเสสไปถามเจ้าของแบคแพคเกอร์ว่า มีใครได้เข้ามารับรถตู้ไหม
พอเธอบอกว่าไม่เห็นใคร ผมจึงเมสเสสไปหาคนฮอลแลนด์คนนั้น เธอว่าเธอได้ลองปรึกษากับพ่อของเธอแล้ว
ซึ่งเธอได้ตัดสินใจว่าเธอขอสละสิทธิ์ ผมคิดว่าเธอคงจะไม่มั่นใจกับเรื่องนี้
แต่จะให้ทำอย่างไรได้ หากลองให้ผมไปอยู่ในสถานการณ์ของเธอ
มันก็คงเป็นอะไรที่ดูเสี่ยงๆอยู่เหมือนกันกับข้อเสนอแปลกๆแบบนี้
แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
ใจของผมได้สละรถคันนี้ไปแล้ว ไม่ว่ามันจะได้เจ้าของใหม่เป็นใครนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ
ผมจึงเมสเสสกลับไปหาเจ้าของแบคแพคเกอร์ แล้วถามเธอว่า
เธออยากจะเก็บรถคันนั้นไว้ไหม ซึ่งเธอก็ตอบรับด้วยความยินดี
ผมคิดว่าหลังจากที่ได้รู้จักกันมากว่าหนึ่งปี มันน่าจะเป็นเรื่องง่ายที่เธอจะไม่คิดอะไรมากกับการให้ของผมแบบนี้
สรุปว่าทุกเรื่องราวที่เคยขัดข้องใจต่างๆใน NZ ได้มีข้อยุติลงตัวหมดแล้ว
ผมเดินทางต่อไปยังดินแดนเอเซียด้วยความสบายใจ
แม้ว่าประเทศสิงคโปร์จะยังไม่ใช่บ้านก็เถอะ แต่ก็นับว่าใกล้มากๆแล้ว
No comments:
Post a Comment