และแล้วผมก็ได้มาถึงเมือง
Chrischurch
เมืองที่ซึ่งมีประวัติแผ่นดินไหวมาเมื่อไม่นานมานี้
จึงเป็นเรื่องปกติที่คุณจะเห็นการก่อสร้างอาคารค่อนข้างบ่อยในขณะที่คุณเดินไปตามถนนของเมือง
ผมมาถึงที่นี่ในช่วงบ่ายแก่ๆแล้ว และยังไม่ได้จองที่พักที่ใดไว้เลย แต่หลังจากที่บอกคนขับแทกซี่ที่สถานีรถไฟว่าผมกำลังหาที่พัก
เขาก็พาผมมาในย่านที่มีแบคแพคเกอร์เยอะๆที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยของเมืองนี้
พอมาถึงก็โชคดีที่พนักงานต้อนรับของโรงแรมบอกว่าเหลือเตียงว่างอยู่เตียงหนึ่ง
เขาบอกกับผมว่า ช่วงฤดูร้อนแบบนี้คนมักจะลงมาเที่ยวเกาะใต้กันเยอะ
แต่อย่าเข้าใจผิดว่าฤดูร้อนที่เกาะใต้นี้อากาศจะต้องร้อนตามนะครับ
ฤดูร้อนของเกาะใต้ที่นี่ก็เหมือนกับฤดูหนาวทางภาคเหนือของเรานั่นแหละครับ
หลังจากได้ที่พัก ผมก็ออกเดินเล่นรอบเมือง สวนสาธารณะของที่นี่ใหญ่และกว้างมาก ออกแบบได้ดีและสวยงามลงตัว
หากจะว่าไปผมรู้สึกว่ามันเป็นแบบนี้แทบจะทุกเมืองเลย ที่จะมีสวนสาธารณะที่มีพื้นที่กว้างขวางไว้บริการผู้คน
แต่คนกลับไม่เยอะเหมือนบ้านเรา
บอกได้เลยว่าผู้ที่ชอบความสงบจะชอบบรรยากาศของประเทศนี้มาก
เรื่องน่าตลกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นในเช้าวันถัดมา
ห้องที่ผมนอนเมื่อคืนเป็นห้องนอนรวมซึ่งมีทั้งหมดหกเตียง
ตอนที่ผมกำลังเก็บของก็ได้มีโอกาสคุยกับผู้หญิงฝรั่งเศสคนหนึ่งอายุประมาณสามสิบต้นๆ
เธอตัดผมสั้นและดูเป็นขาลุย เธอทำงานเป็นสถาปนิก แต่ช่วงนี้อยู่ในระหว่างการพักร้อน
รูปแบบการเดินทางที่เธอเลือกใช้ในการมาเที่ยว NZ ครั้งนี้ก็คือการเดิน
ซึ่งก็เหมือนกับคนที่ผมเพิ่งเจอมาเมื่อสองวันก่อนนั่นแหละ ผมนี่ละทึ่งอีกรอบเลย เนื่องจากเธอคนนี้เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้ดูบึกบึนอะไร
เธอตัวเล็กกว่าผมด้วยซ้ำ ช่วงนี้ที่เธอต้องเข้ามานอนในเมืองก็เพราะเธอมีอาการข้อเท้าอักเสบ
จึงน่าจะดีที่เธอจะหยุดการเดินทางระยะไกลสักพัก
คุยกันไปคุยกันมา
ผมก็ถามเธอว่า เวลาอยู่ในป่าเธอหลับนอนอย่างไร เธอก็ว่าเธอใช้ Hammock ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
มันเป็นศัพท์ใหม่สำหรับผม เธอจึงลงไปคุ้ยในกระเป๋าเดินทางของเธอเพื่อเอาออกมาให้ผมดู
ซึ่งมันก็คือแปลญวณนั่นเอง เอาไว้ผูกนอนกับต้นไม้คล้ายๆในเรื่อง Avatar นั่นแหละ แหม่ ไหนๆผมก็เห็นกระเป๋าเดินทางของเธอแล้วซึ่งดูๆไปก็ขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของกระเป๋าเดินทางของผม
ผมขอเธอยกกระเป๋าดูเพราะอยากรู้ว่ามันจะหนักแค่ไหน และผมก็พบว่ามันเบากว่าของผมมาก
ผมนี่ออกอาการตะลึงอีกครั้งเลย ในขณะเดียวกันก็รู้สึกฉงนงงงันถามตัวเองในใจว่า
แล้วนี่กูแบกอะไรมาตลอดเวลาว่ะเนี่ย
หลังจากแยกย้ายจากเธอแล้วผมก็ลงไปเช็คเอ๊าและคืนกุญแจ
พร้อมกับเกิดไอเดียบางอย่างในหัว ผมมองไปรอบๆบริเวณนั้นเพื่อหาที่เหมาะๆและผมก็เจอมุมๆหนึ่งที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านนัก
แต่ก็เป็นบริเวณที่มีพวกโบวชัวแนะนำการท่องเที่ยวห้อยติดกับผนังไว้มากมาย
ผมเริ่มต้นทำสิ่งที่ผมตั้งใจ ผมเริ่มเปิดกระเป๋าใบใหญ่ที่หนัก 20 กิโลกรัมของผมออกแล้วเอาของทุกชิ้นในนั้นออกมาแผ่วางบนโซฟาใกล้ๆ
สังเกตและเลือกดู พร้อมกับนึกไปด้วยว่า หลังจากที่มีประสบการณ์ใน NZ กว่าสามเดือนแล้ว
สิ่งที่กำลังถืออยู่นี้น่าจะมีประโยชน์กับช่วงเวลาอีกเกือบปีที่จะอยู่ใน NZ ไหม น้ำหนักและประโยชน์ของมันคุ้มค่าที่จะแบกต่อไปอีกหรือป่าว
ผมทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แยกของทั้งสองกองออกจากกัน คิดซ้ำอีกครั้งกับบางชิ้น
และแล้วก็ได้เวลาสรุปผล มีไอเท็มหลายชิ้นอยู่เหมือนกันที่ผมเลือกที่จะสละออก
บางชิ้นเป็นเสื้อผ้าที่ดีและมีดีไซด์ที่ดีแต่คิดว่าคงไม่ได้ใช้ที่นี่
และของจิปาถะอื่นๆที่ผมเคยคิดเอาเองที่ไทยว่ามันน่าจะมีประโยชน์ที่นี่
แต่จนแล้วจนรอด ระยะเวลาที่ผมอยู่ที่นี่มากว่าสี่เดือน ผมกลับไม่เคยได้ใช้มันเลย
ซึ่งก็อาจจะไม่มีเหตุผลที่ต้องเก็บไว้อีก โดยรวมๆถ้าประเมินตามความรู้สึกผมว่าของที่ผมสละทั้งหมดมีน้ำหนักรวมไม่ต่ำกว่า
7 กิโลกรัม เพราะหลังจากที่ผมเอาของที่ตั้งใจจะเก็บไว้ใช้ต่อไปใส่คืนลงไปในกระเป๋า
ผมรู้สึกดีขึ้นมากพอสมควร ขณะเดียวกันก็สงสัยกับตัวเองว่าทำไมถึงแบกกระเป๋าหนักก่อนหน้านี้มาตั้งนานโดยไม่เฉลียวใจทำสิ่งที่ได้ทำไปเมื่อกี้
ของที่ผมแยกออกมานั้นผมเรียงไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยบนโซฟานั่นเอง
จัดเรียงให้ดูน่าเข้ามาหยิบ พร้อมกับเขียนโน๊ตบนกระดาษแผ่นหนึ่งและหาอะไรทับไว้ว่า
“Please take anything you think it might be useful for you. My bag was too heavy. ”
ตอนแรกๆที่ผมทำก็รู้สึกระแวงเหมือนกันว่าอาจมีแม่บ้านหรือพนักงานของโรงแรมเข้ามาห้าม
เนื่องด้วยเหตุผลว่ามันอาจจะเกะกะพื้นที่ แต่ดีที่มุมนั้นคนไม่ค่อยพลุกพล่าน
และถึงแม้หลังจากนั้นจะมีพนักงานเข้ามาเจอ ผมก็อาจจะออกจากโรงแรมไปไกลแล้ว ซึ่งหากเขาต้องการอะไรในกองนั้นผมก็ยินดีอยู่แล้ว
ผมใช้เวลาวันต่อมาที่โรงแรมอีกแห่งหนึ่งใกล้ๆกัน
ใช้เวลาอยู่นานในการจองตั๋วรถบัสไป Te Anu ที่นานนี่เพราะคิดเยอะไม่รู้ว่าจะไปไหนก่อนดี แล้วก็คิดมากเรื่องจะทำอย่างไรให้มันถูกที่สุด
แต่เอาเข้าจริงแล้วทั้งสองเรื่องที่ว่ามาหากมองย้อนกลับไปก็ต่างเป็นเรื่องเสียเวลาและพลังงานทั้งสิ้น
เพราะหากเรามองภาพรวมกว้างๆสักหน่อย
เราก็จะพบว่าหากเราตัดใจเพิ่มเงินอีกสักนิดและปล่อยใจตามอารมณ์อีกสักหน่อย
เราก็อาจไม่ต้องเสียเวลาขนาดนั้น แต่ก็นั่นแหละ ผมเสียเวลาที่นั่นเพราะผมจำเป็นต้องได้เรียนรู้สิ่งนี้ในภายหลัง
เพราะผมยังคิดเองไม่ได้ตั้งแต่แรกงัย
และนี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ประสบการณ์ที่ไม่มีประโยชน์สอนสิ่งที่มีประโยชน์ให้กับเรา
ระหว่างที่ผมอยู่ในเมืองนี้
ผมก็เดินเล่นไปตามที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะ ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร
จะว่าไปอะไรๆมันก็น่าตื่นตาตื่นใจดี แต่บางครั้งผมก็รู้สึกประหม่าบ้างในที่ที่ไม่คุ้นเคย
ยกตัวอย่างเช่น การเข้าไปทานอาหารในร้านอาหารขนาดใหญ่
นั่งอยู่ที่โต๊ะคนเดียวโดยลำพังในขณะที่โต๊ะที่ไม่ห่างกันนักมีคนนั่งรวมกันถึงสิบคน
ผมยอมรับว่าผมรู้สึกแปลกๆ แต่สุดท้ายแล้วพอข้าวหมดจาน มันก็ไม่มีอะไรจริงๆหรอก
ก็แค่ความรู้สึกฟุ้งซ่านของตัวเอง
ผมยอมรับว่าการมีคนคุยด้วยหรืออยู่เป็นเพื่อนมันทำให้รู้สึกอุ่นใจและมั่นใจมากขึ้น
แต่ลึกๆอีกด้านหนึ่งของ
ผมก็บอกว่า
แล้วมันจะเป็นไปได้ไหมหากใครสักคนจะรู้สึกสบายใจ
ไม่ว่าในสถานการณ์ที่ได้อยู่คนเดียวหรือในขณะที่อยู่กับผู้อื่น และคำตอบก็คือมันเป็นไปได้
ผมเองก็อยากที่จะเป็นคนที่รู้สึกแบบนั้นจากภายใน
และเมื่อผมรู้สึกได้ว่าความรู้สึกนี้มันชัดเจนแล้ว
ผมก็อยากจะให้ผู้อื่นได้รับรู้ถึงสิ่งนี้ด้วย เพื่อว่าเราทุกคนจะได้ตระหนักว่า
จริงๆแล้วความรู้สึกสบายใจและผ่อนคลายอาจไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ภายนอกเสมอไป
มันอาจเป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้
No comments:
Post a Comment