เราจะกลับมาที่การเดินทางหลังจากคืนแรกกันต่อ
เมื่อผมได้ดื่มกาแฟและกินขนมปังสักสองแผ่น พร้อมกับเข้าห้องน้ำจนหมดจรดแล้ว
ผมก็คว้าแอปเปิ้ลมาหนึ่งลูก น้ำอีกหนึ่งขวด แล้วเดินออกเดินไปเรื่อยๆโดยไม่มีจุดมุ่งหมาย
ถ้าจะว่าไปแล้ว จุดมุ่งหมายก็คือ แล้วแต่ใจจะพาไป
มันเป็นความรู้สึกที่ผมชอบมากกับการเดินเล่นไปตามชานเมืองในตอนเช้าที่อากาศดีๆ
เดินข้ามสะพาน มองสายน้ำที่ไหลผ่าน ฟังเสียงนกร้องที่แตกต่างไปจากที่บ้านเรา
ขณะเดียวกันนั้นก็กัดแอปเปิ้ลไปด้วย พร้อมกับฟังเพลงหรือ Audio ที่เราชอบ
หลายครั้งผมเคยรู้สึกว่า หากความสุขของผมคือช่วงเวลาง่ายๆแบบนี้
ผมก็อาจไม่จำเป็นต้องเหนื่อยหาเงินมาซื้อสิ่งที่ผมต้องการมากนัก
แน่นอนว่ากิจกรรมบางอย่างมันก็นำมาซึ่งความตื่นเต้น
แต่ผมเคยลองเทียบความรู้สึกแล้ว ผมรู้สึกว่าความสุขจากการได้เดินเล่นแบบนี้
นุ่มนวลและให้ความรู้สึกสบายใจมากกว่า ทั้งยังต้นทุนน้อยอีกด้วย
สำหรับเรื่องของความพอใจของแต่ละบุคคลนี่ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลเช่นเดียวกัน
เช้าวันนั้นหลังจากการเดินไปเดินมา
เลาะโน่นนี่จนเป็นที่พอใจ ผมก็เดินกลับมาที่รถ ขับรถกลับไปที่ปั้มน้ำมัน
ซื้อน้ำมันเครื่องสำรองเผื่อไว้อีกหนึ่งแกลลอน แล้วจึงออกเดินทางต่อ
เป้าหมายก็คือการลงไปทางใต้ของแผนที่
ก็พอดีว่าผมจำชื่อเมืองเมืองหนึ่งที่นักเดินทางคนหนึ่ง ที่เคยพักที่แบคแพคเกอร์เดียวกันเคยแนะนำไว้
เมืองนั้นชื่อว่า Wanganui
เหตุผลของการเดินทางในวันนี้ก็คือ
ไปตามที่เพื่อนบอก
ก่อนจะไปถึงเมืองนี้ ผมก็เลี้ยวเข้าโน่นนี่ไปเรื่อย
ไม่ได้กำหนดเวลาว่าต้องไปถึงที่ไหนกี่โมงหรืออะไร
เอาเป็นว่าถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น และท้ายที่สุดในเย็นวันนั้น ก็สรุปว่าผมยังขับไปไม่ถึง
เพราะมาหยุดพักค้างแรมที่สวนสาธารณะแถบชานเมือง จริงๆแล้วน่าจะเรียกที่นี่ว่าเป็นสถานที่ให้คนได้มาขี่จักรยานวิบากแบบลัดเลาะไปตามป่า
น่าจะเหมาะกว่า เพราะลักษณะสวนออกแบบมาให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ
และหากใครมีหมาก็สามารถเอามาจูงเดินเล่นที่นี่ได้
ในขณะที่อีกฟากถนนที่อยู่ใกล้กันนั้น มีบึงขนาดใหญ่ ที่มีลูกบอลสีส้มลอยอยู่กลางน้ำหลายลูก
ซึ่งที่นี่ก็คือสนามเจ็ตสกีนั่นเอง คนที่เล่นกีฬาประเภทนี้คงจะชอบที่นี่แน่
แต่แม้ว่าจะมีสถานที่ไว้รองรับผู้ที่ต้องการมาพักผ่อนอย่างครบครัน แต่กลับมีผู้คนไม่มากนัก
เรียกได้ว่าน้อยก็ได้ อาจเป็นเพราะประชากรของประเทศนี้มีไม่มาก
ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้สถานที่ตามธรรมชาติของประเทศนี้หลายแห่งให้บรรยากาศสงบใกล้ชิดกับธรรมชาติ
เนื่องจากมีผู้คนไม่มาก สำหรับผมแล้ว บรรยากาศและสภาวะแบบนี้คือเสน่ห์ของที่นี่
หลังจากที่ผมเดินสำรวจห้องน้ำและแน่ใจว่า
จะไม่มีใครมาล็อคตอนกลางคืนแน่ พร้อมกับการสำรวจสถานที่โดยรอบ ซึ่งประเมินดูแล้วพบว่า
น่าจะสามารถจอดพักค้างคืนที่นี่ได้ ผมจึงเริ่มทำอาหาร
ซึ่งเมนูง่ายๆที่อยากแนะนำก็คือ อาหารกระป๋องอย่างพวกถั่ว ข้าวโพด แครอท
โดยนำมาอุ่นให้ร้อน แล้วเติมพวกปลาทูน่ากระป๋อง ไม่ก็ไส้กรอกลงไป ปรุงรสด้วยซอสที่ชอบ
แล้วก็กินกับขนมปังที่ผมจะมีติดรถไว้ตลอดเพื่อเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่หยิบฉวยได้ง่าย และด้วยอากาศของที่นี่ในฤดูกาลนี้ที่เย็นสบาย
จึงแทบจะไม่มีปัญหาเรื่องอาหารเน่าเสีย
เพราะสถาพอากาศหากให้ประเมินตามความรู้สึกก็น่าจะคล้ายกับตู้เย็นดีดีนี่เอง
ขนมของผมก็คือผลไม้
อย่างพวกแอปเปิ้ลนี่เป็นผลไม้หลักเลยที่ผมไม่เคยรู้สึกเบื่อ
และรู้สึกว่าเป็นผลไม้ที่ช่วยในเรื่องการขับถ่ายได้ดีอีกด้วย
ยิ่งในช่วงที่ต้องอยู่ในรถและนั่งนานๆแบบนี้ บางทีผมก็เหมาพวกช็อคโกแล็ต
หรือไม่ก็คุกกี้มาตุนไว้ในรถ(ในภายหลัง เมื่อได้กลับมาที่ไทย ผมต้องไปหาหมอฟันหลายครั้งเนื่องจากมีฟันผุอยู่หลายจุด)
เอาเป็นว่าเรื่องของกิน หากไม่เรื่องเยอะก็ไม่น่าห่วงอะไร เพราะจะมีเพียงพอเสมอ
ในช่วงเย็นหลังจากที่ผมกำลังเก็บล้างอุปกรณ์ประกอบอาหารอยู่นั้น
ก็มีโอกาสได้เจอกับคนพื้นที่แถวนั้นที่พาหมามาเดินเล่น ผมก็คุยกับเธออยู่สักพัก
ถามโน่นนี่ ก่อนจะไปเธอก็แนะนำผมว่า
ผมไม่ควรจะจอดรถและนอนอยู่ที่นี่คนเดียวเพราะมันไม่ปลอดภัย เธอแนะนำด้วยความหวังดี
ซึ่งผมก็เข้าใจตรงจุดนั้น
แต่ความรู้สึกของผมก็บอกว่าที่ตรงนี้ปลอดภัยและสบายมากสำหรับคืนนี้
หลังจากที่เธอขับรถออกไปไม่นาน ก็มีชายวัยคุณพ่อแวะเข้ามาคุยอีก
อาจเป็นเพราะเราจอดรถไม่ห่างกันสักเท่าไหร่ และเขาก็กำลังจะกลับบ้าน คุยกันไปคุยกันมาก็เลยรู้ว่าเขามาปั่นจักรยานที่นี่เพื่อเป็นการออกกำลังกายและพักผ่อน
เราแลกเปลี่ยนมุมมองการใช้ชีวิตกัน เขาว่าเขาเคยไปเที่ยวที่ไทยด้วย แต่เราก็ต่างเห็นพ้องกันว่าที่นี่ร่มรื่นและสงบกว่ามาก
และเมื่อเขาขับรถออกไปแล้ว รถของผมจึงเป็นคันสุดท้ายที่จอดอยู่ที่นั่น
ผมใช้เวลาก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินไปกับการอ่านหนังสือ
และมองธรรมชาติแบบปล่อยอารมณ์ และพอเริ่มมืดผมก็เข้านอน
มีฝนตกปรอยๆในช่วงหัวค่ำ และคืนนี้ก็เป็นฝนที่มากับลมด้วย
ในตอนแรกที่คิดว่าการจอดรถใต้ต้นไม้น่าจะเป็นไอเดียที่ดี (แน่นอนว่าหากตอนนั้นเป็นตอนกลางวันที่มีแดดหรือในตอนกลางคืนที่อากาศเป็นปกติอะนะ)
แต่สำหรับในคืนที่ฝนตกและต้องนอนในรถแบบนี้ ผมคิดผิดมหันต์
เพราะหยาดน้ำฝนที่ผ่านลงมาจากใบไม้ข้างบนแล้วหยดลงมาที่หลังคานั้น
ช่างเป็นเสียงที่ทำให้ตื่นตระหนกได้ดีจริงๆ ผมหลับบ้าง รู้สึกตัวบ้าง
แต่ก็ไม่ได้ขยับหรือมีไอเดียอะไรในช่วงที่ยังงัวเงียอยู่
ก็ได้แต่ข่มตัวเองให้หลับไปจนถึงเช้า พอเริ่มสว่างผมก็ออกมาทำกิจวัตรประจำของผม
และก็เพิ่งจะคิดได้ในตอนเช้านั่นเองว่า เสียงของหยดฝนที่ตกลงมาคงจะสม่ำเสมอกว่านี้หากเราจอดรถกลางสายฝน
โดยที่ไม่มีใบไม้คลุมอยู่ด้านบน ซึ่งผมคงจะได้ลองไอเดียนี้แน่หากมีฝนตกอีกในคืนข้างหน้า
ไม่รู้อย่างไร
ในเช้าวันนั้นมีรถอีกคันเข้ามาจอดที่นั่นด้วย ผมได้ยินเสียงหมาจากในรถเห่าออกมา
เพราะผมน่าจะดูเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับมัน
แต่เจ้าของในรถก็ไม่ได้เปิดประตูออกมาทักทายแต่อย่างใด
ผมได้ยินแต่เสียงที่เขาดุให้หมาเงียบก็เท่านั้น
เขาอาจจะแปลกใจก็ได้ว่าใครมาทำอะไรที่นี่ตั้งแต่เช้า ขณะนั้นผมทำธุระส่วนตัวเสร็จพอดี
จึงเคลื่อนรถมุ่งหน้าสู่ Wanganui
No comments:
Post a Comment