หลังจากส่งเพื่อนเสร็จ ผมก็มุ่งตรงไปต่อที่ Palmerston North ผมยังไม่ได้บอกใช่ไหมว่าทำไมผมจึงมุ่งหน้าไปเมืองนี้ ผมมีนัดกับครอบครัวๆหนึ่งที่ผมรู้จักในเว็บไซด์ WWOOF โดยเว็บไซด์นี้จะเป็นสื่อกลางให้กับบ้านที่ต้องการความช่วยเหลือด้านแรงงาน หรือหากจะพูดตรงๆก็คือแรงงานจากนักท่องเที่ยว แลกกับการที่นักท่องเที่ยวจะได้ที่พักและอาหารฟรีในระหว่างที่มาพักอาศัยด้วย ซึ่งก็จะเป็นสิ่งที่ให้ประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย กล่าวคือ ทางเจ้าบ้านก็จะมีคนมาช่วยงานเพิ่มโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรทางการเงินเข้ามาช่วย แต่ใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วในบ้านเป็นข้อแลกเปลี่ยนแทน ในขณะที่อีกฝ่ายก็จะมีโอกาสได้เปลี่ยนบรรยากาศ และสามารถประหยัดทุนในการเดินทางของตัวเองไปด้วย แต่สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายจะได้ประโยชน์ร่วมกันก็คือ การได้เพื่อนใหม่และการแลกเปลี่ยนมุมมองซึ่งกันและกัน ซึ่งผมมองว่าไอเดียของเว็บไซด์นี้น่าสนใจมาก ผมเองก็สมัครเป็นสมาชิกไว้นานแล้ว แต่ยังไม่เคยได้ลองใช้บริการสักที พอดีช่วงนี้ถือว่าเป็นโอกาสเหมาะ จึงได้ลองดู
ระหว่างทางที่ผมขับรถไป
ผมก็จะคอยเช็คอีเมลที่เจ้าของบ้านส่งที่อยู่มาให้ เนื่องจากบ้านของพวกเขาเป็นเขตที่สัญญาณมือถือเข้าไม่ถึง
ผมลัดเลาะตามทางมาเรื่อยๆจนมาถึงถนนเส้นที่พวกเขาอยู่
ผมเริ่มสังเกตและนับเลขที่บ้านไปเรื่อยๆซึ่งคนที่นี่มักจะติดไว้ที่รั้ว
ผมค่อยๆนับไปๆ และเมื่อผมตระหนักได้ว่า จริงๆแล้วมันคือบ้านหลังเมื่อกี้ที่เพิ่งเลยมา
ผมจึงรู้ว่าได้เวลาที่ต้องกลับรถแล้วล่ะ เผอิญว่าถนนสายนั้นมีเพียงสองเลน
และในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีฝนตกอยู่เรื่อยๆ พื้นหญ้าที่เขียวชอุ่มที่อยู่ข้างทางนั้น
แท้จริงแล้วกำลังปกคลุมพื้นที่ลาดเอียงที่เฉอะแฉะที่อยู่ด้านล่าง ด้วยความที่ไม่คาดคิดและความอ่อนประสบการณ์
ในขณะที่ผมกำลังขับรถกินพื้นที่ข้างทางสักนิดเพื่อที่จะกลับรถ
รถผมก็ดันไปจมอยู่กับโคลน รถไม่มีแรงพอที่จะขึ้นมา
ล้อเริ่มหมุนฟรีและไม่เคลื่อนไปข้างหน้าอีก พอเริ่มเร่งจนกระทั่งรู้สึกว่ามันจะยิ่งทำให้รถยิ่งจมหนักเข้าไปอีก
ผมจึงลงจากรถและโบกรถข้างทางเพื่อขอความช่วยเหลือ
พอดีมีรถเก๋งคันหนึ่งขับผ่านมา ซึ่งพวกเขาก็มีน้ำใจที่ได้จอดรถถามไถ่
พวกเขามากันสองคน เป็นคู่คุณลุงคุณป้าวัยเกษียณ
ผมขอให้คุณลุงมาขับรถเพื่อถอยหลังให้ผม
โดยที่ผมจะคอยออกแรงดันรถจากข้างหน้า ซึ่งวิธีนี้ก็ไม่เป็นผล
จนคุณลุงบอกว่าเราควรจะหยุดก่อน เพราะกลัวว่าล้อหน้าจะยิ่งจมหนักขึ้น
พวกเขาจำเป็นที่ต้องขอตัวไปก่อนเพราะกำลังจะไปงานศพ
แต่เขาก็แนะนำให้ผมไปขอความช่วยเหลือจากบ้านที่ผมจะมาพักเพราะอาจจะมีใครพอที่จะช่วยอะไรได้
ผมจึงลองเดินย้อนกลับไปดู ซึ่งอยู่ห่างไปประมาณร้อยเมตรจากจุดที่รถผมติด
เจ้าของบ้านที่ผมเจอนั้นคือผู้หญิงวัยกลางคน
ที่กำลังยุ่งอยู่กับแกะตัวเล็กๆที่เธอนำมาอุปการะอยู่ เธอบอกว่าตอนนี้เธอยุ่งมาก
และสามีของเธอก็ไม่อยู่บ้าน สำหรับตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้อย่างไร นอกจากจะแนะนำให้ผมกลับไปขอความช่วยเหลือจากคนที่ขับรถผ่านไปมาอีกครั้ง
แม้ว่าผมจะรู้สึกผิดหวังไปบ้าง แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากวิธีที่เธอแนะนำมา
แต่พอผมกลับไปโบกรถอีกไม่นาน ก็ปรากฎว่ามีรถเครนคันใหญ่ขับผ่านมา เขาจอดรถ! แล้วลงมาคุยกับผม
ชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นชาวเมารีที่มีน้ำใจมาก เขาบอกว่าจะขับรถเลยไปข้างหน้าเพื่อหาที่กลับรถแล้วจะกลับมาช่วย
เมื่อเขาย้อนกลับมาแล้ว เขาก็เอาเชือกสลิงจากรถของเขามาเกี่ยวกับรถของผมไว้
และบอกให้ผมไปคอยระวังรถที่สวนมาเพื่อที่พวกเขาจะได้ชะลอความเร็ว ซึ่งก็เป็นโชคดีอีกครั้งหนึ่งที่มีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งขับรถสวนมา
พอพวกเขาเห็นเหตุการณ์และเข้าใจว่าพวกเรากำลังทำอะไรอยู่
เขาก็จอดรถให้ห่างจากเราพอสมควร เพื่อเป็นกำแพงให้รถคันต่อๆมาได้หยุดรถ
ซึ่งอันที่จริงก็ไม่มีมากนักเนื่องจากเป็นถนนชนบท
แต่นั่นก็เป็นการแสดงน้ำใจที่น่าประทับใจมาก พวกเขายังลงมาจากรถ และช่วยโบกให้รถคันข้างหลังชะลอตัวอีกด้วย
สำหรับรถเครนที่กำลังลากรถของผมขึ้นมานั้น ทำงานได้ดีจนแทบไม่น่าเชื่อ
โดยใช้เวลาเพียงไม่ถึงสิบวินาทีก็สามารถดึงรถของผมขึ้นมาได้แล้ว ถ้าจะว่าไป เวลาที่ใช้ในการผูกเชือกสลิงและแก้เชือกนั้น
ใช้มากกว่าเสียอีก ผมมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความดีใจแบบสุดๆไปเลย
ผู้ชายคนนั้นลงมาจากรถเพื่อเก็บอุปกรณ์ของเขา
ผมเข้าไปหาเขาแล้วกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งสุดๆ ในขณะที่มือทั้งสองข้างของผมก็จับแขนของเขาแล้วเขย่า
ผมกล่าวขอบคุณคู่สามีภรรยาคู่นั้นที่ช่วยกันรถที่สวนมาให้ จากนั้นจึงกลับไปที่รถของผมเพื่อที่จะขับไปข้างหน้าเพื่อหาที่กลับรถที่เหมาะสมจริงๆ
พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วนึกย้อนกลับไป
ผมยังนึกเสียดายที่ไม่ได้ให้เงินหรืออะไรแก่ชายผู้นั้นเลย ตอนนั้นผมไม่ทันคิดจริงๆ
แต่ถ้าจะถามตามความรู้สึกของผม ผมคิดว่าเขาก็ไม่ได้หวังเรื่องนั้นหรอก
การได้เห็นน้ำใจของคนที่นี่ในวันนั้น
ทำให้วันที่น่าจะหัวเสียกลับกลายเป็นวันที่ดีที่มีเรื่องให้น่าจดจำ
หลายครั้งที่เหตุการณ์ที่ผมได้รับความช่วยเหลือทำนองนี้เกิดขึ้นโดยที่ผมไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น
มักทำให้ผมนึกย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่ผมมีโอกาสช่วยอะไรทำนองนี้แก่คนอื่นบ้าง
แล้วก็นึกเลยไปถึงคำพูดของใครที่เคยได้ยินมาว่า
อานิสงค์ของความดีนั้นมีจริง และก็มักจะมาช่วยเราในยามที่เราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก
แม้ว่าผมจะไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันสิ่งนี้ได้ แต่ผมสามารถรู้สึกได้ว่า
ก็ด้วยสิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น
พอผมได้ที่กลับรถเหมาะๆ ผมก็ย้อนกลับไปที่บ้านของโฮส
เธอกำลังยุ่งกับการให้นมลูกแกะอยู่ในคอกที่อยู่ใกล้กับประตูรั้ว
เธอบอกให้ผมขับรถเข้าไปจอดในที่จอดรถที่อยู่ทางขวามือใกล้กับตัวบ้าน ผมจึงขับรถไปเรื่อยๆจนเลยตัวบ้าน
แล้วได้เลี้ยวรถไปทางขวาขนานกับตัวบ้าน ซึ่งบริเวณนั้นเป็นที่โล่งๆที่มีหญ้าสีเขียวปกคลุม
และก็นั่นแหละ เป็นครั้งที่สองของวันที่ผมพารถมาตกหล่ม ผมไม่สามารถถอยรถออกมาได้
ผมจึงเดินไปหาโฮสและเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เธอจึงชี้แจงว่า
ไอทางที่อยู่ทางขวาที่จะให้ผมไปจอดรถนั้น ผมได้ขับเลยไปแล้ว
ซึ่งมันอยู่ก่อนที่จะถึงตัวบ้านนี่เอง ผมได้เดินไปดูในภายหลังจึงทำให้ถึงบางอ้อ
เพราะมันเป็นทางที่โรยด้วยหินกรวดที่แข็งแกร่งที่ทำไว้อย่างดีสำหรับจอดรถ
แต่ผมมันไม่ดูตาม้าตาเรือเอง (ผมคิดในใจ)
แม้ว่าเธอจะดูหงุดหงิดไปบ้างที่นี่เป็นครั้งที่สองของวัน
ที่ผมได้พารถมาเจอกับปัญหาเดียวกันแบบนี้ แต่เธอก็บอกว่า
เดี๋ยวพอแฟนของเธอกลับมาในตอนเย็นแล้ว ค่อยคิดหาวิธีดึงมันขึ้นมาก็ได้
เธอชวนผมไปดูลูกแกะที่เธอรับอุปการะมาจากฟาร์มแกะ
เพราะเมื่อแม่แกะถูกขายให้กับโรงฆ่าสัตว์แล้ว
ลูกแกะเหล่านี้จริงๆแล้วก็จะต้องถูกฆ่าเช่นเดียวกัน
เนื่องจากเมื่อแม่ของพวกมันไม่อยู่ ก็จะไม่มีใครให้นมกับพวกมันอีก
และทางโรงเลี้ยงก็ไม่คิดที่จะรับเลี้ยงพวกมันต่อด้วย พวกมันอยู่ในสภาพที่หิวโหย
และหมดแรงตอนที่เธอไปรับพวกมันมาไว้ที่คอกเลี้ยงสัตว์ของเธอเมื่อวันก่อน
ซึ่งเท่าที่ผมเห็นอยู่ก็มีประมาณสิบตัว เธอใช้วิธีป้อนนมพวกมันโดยใช้ขวดนมเด็ก โดยจะป้อนพวกมันไปทีละตัวๆ
สี่มื้อต่อวัน และในขณะเดียวกัน เธอก็จะทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ในสื่อออนไลน์
เพื่อหาคนที่อยากได้แกะไว้เป็นสัตว์เลี้ยงมารับพวกมันไปอุปการะ
ระหว่างที่อยู่ที่นี่ผมก็ยังได้ป้อนนมให้เจ้าพวกนี้ด้วย บางทีมันก็สนุกดีเหมือนกัน
ที่ตอนเราถือขวดนมทั้งสองมือ แล้วเจ้าพวกนี้ก็ดูดอย่างกระตือรือร้นเอามากๆ
หลังจากที่แม่สามีของเธอทำอาหารกลางวันให้ทาน
ซึ่งก็ประมาณว่าเป็นถั่วกับซอสเค็มๆหวานๆอะไรสักอย่าง เออ
ผมลืมบอกไปว่าบ้านนี้เขากินอาหารมังสวิรัติ(vegan)
โดยพวกเขาจะไม่กินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์เลย พวกเขาเชื่อว่า
มนุษย์ไม่ควรที่จะต้องเบียดเบียนชีวิตอื่นเพื่อการดำรงชีพ สำหรับตัวผมเอง แม้ว่าจะกินอาหารแบบปกติทั่วไป
แต่ผมก็เข้าใจและเคารพในความเห็นของพวกเขา
อันที่จริงแล้วผมเห็นด้วยซะด้วยซ้ำ เพียงแต่ผมรู้สึกว่า
การกินอาหารแบบทั่วไปสามารถหากินได้ง่ายกว่า
งานแรกในบ่ายวันนั้นก็คือการถอนหญ้า
ซึ่งจริงๆแล้วมันก็เป็นงานที่ง่ายมาก หากไม่ติดที่ว่า ความรู้สึกที่เพิ่งกินอิ่มใหม่ๆจะทำให้รู้สึกแน่นท้องไปหน่อยก็เถอะ
อย่างไรก็ตาม ตอนที่สามีของเธอกลับมาในตอนเย็น เขาได้นำรถของเขาดึงรถของผมขึ้นมาอย่างง่ายดาย
จากนั้น ผมได้กินอาหารมื้อเย็นที่พวกเขาตั้งใจเตรียมอย่างเอร็ดอร่อย ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีเนื้อสัตว์ใดใดก็เถอะ
จริงๆแล้วโดยส่วนตัวผมไม่คิดว่ามันสำคัญว่าต้องเป็นเนื้อสัตว์หรืออะไร
แต่มันอยู่ที่รสชาดและวิธีการปรุงมากกว่าที่จะทำให้อาหารถูกปากหรือไม่
ครอบครัวนี้มีด้วยกันห้าคน คือคุณพ่อคุณแม่วัยประมาณสี่สิบกับลูกๆอีกสามคน
พี่ชายคนโตอายุประมาณสิบขวบ คนกลางอายุหกขวบเป็นผู้ชาย
และคนเล็กอายุประมาณขวบครึ่งซึ่งเป็นน้องสาวคนสุดท้อง
นับว่าเป็นครอบครัวที่น่ารักเลยทีเดียว พวกเขาเป็นคนแคนนาดา และได้ย้ายมาอยู่นิวซีแลนด์
พวกเขาเลี้ยงลูกแบบโฮมสคูล คือให้ลูกๆเรียนอยู่ที่บ้าน
ฟาร์มของพวกเขามีสัตว์เป็นสมาชิกอยู่หลายประเภท ตั้งแต่เป็ด ไก่
ตัวอปาก้า(สัตว์ที่มีลักษณะคล้ายอูฐแต่ไม่มีโหนกอยู่ที่หลัง มีคอยาวประมาณครึ่งเมตรและมีขนปกคลุมทั้งตัว)
หมูป่า ลูกแพะ และลูกแกะที่เพิ่งจะรับมาอุปการะอีกกว่าสิบตัว
ผมใช้เวลากับครอบครัวนี้ประมาณสี่วัน โดยมีเจตนาอยากจะลองดูว่า
ประสบการณ์ทำงานแลกที่พักและอาหารมันจะเป็นอย่างไร
โดยข้อตกลงที่ผมมีกับเจ้าของบ้านคือ
การทำงานให้กับพวกเขาโดยไม่จำกัดว่าจะเป็นงานในบ้านหรือในสวนเป็นเวลา 4 ชั่วโมงต่อวัน
เพื่อแลกกับอาหารสามมื้อและที่พักฟรี
ซึ่งอาหารก็จะเป็นการกินร่วมกับเจ้าของบ้านที่พวกเขากินเป็นปกตินั่นแหละ
ส่วนเรื่องที่พักพวกเขาได้จัดห้องส่วนตัวให้ห้องหนึ่ง
ในระหว่างที่อยู่ที่นี่ผมก็ได้ทำอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยทำ ยกตัวอย่างเช่น
การได้ลองใช้เครื่องตัดหญ้าแบบเดินตาม ได้ป้อนนมลูกแกะ ได้กินอาหารมังสวิรัติ
และที่แน่นอนคือได้เปลี่ยนบรรยากาศ พร้อมกับได้รู้จักผู้คนใหม่ๆ
ข้อตกลงร่วมเพื่อแลกเปลี่ยนกันแบบนี้ จัดว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ที่มีประโยชน์มากสำหรับนักเดินทางที่ต้องการประสบการณ์ที่หลากหลาย
ผมเคยเจอคู่รักคู่หนึ่งที่ใช้วิธีนี้ในการช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย
โดยให้คนหนึ่งทำงานเต็มวันให้กับเจ้าของบ้านที่บ้าน
เพื่อแลกเปลี่ยนกับที่พักและอาหารสำหรับสองคน
ในขณะที่อีกคนออกไปทำงานนอกบ้านตามปกติเพื่อที่จะได้เงินเป็นทุนในการเดินทางต่อไป
หากใครสนใจการท่องเที่ยวสไตล์นี้ก็อาจจะลองดูได้นะครับ
No comments:
Post a Comment