จำได้ว่าในช่วงเวลาบ่ายแก่ๆของวันนั้น
ผมได้เจอที่แห่งหนึ่งอยู่บริเวณที่ราบใกล้แม่น้ำ
ซึ่งมีป้ายอนุญาติให้จอดรถพักค้างแรมได้ โดยมีล๊อคจอดรถจัดไว้ให้หลายที่เลยทีเดียว
ผมเห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ก่อนหน้าที่ผมจะมา ซึ่งเป็นรถสไตล์เดียวกันกับของผมคือมีที่พักอยู่ทางด้านหลัง
หลังจากจอดรถเสร็จสรรพ ผมก็เดินสำรวจห้องน้ำ และพอแน่ใจว่าทุกอย่างลงตัวแล้ว
ก็เป็นอันว่าคืนนี้ผมจะอยู่ค้างที่นี่
เมื่อพบว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้แม่น้ำ
ผมจึงเกิดไอเดียสนุกๆขึ้นมา ในตอนนั้นผมรู้สึกเหนียวตัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย
แม้ว่าอากาศในฤดูใบไม้ผลิจะหนาวน้อยลงกว่าฤดูหนาวไปมาก แต่ก็ยังหนาวอยู่ดีสำหรับผม
ผนวกกับมีฝนตกปรอยๆ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วจะประมาณสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง
เนื่องจากภูมิประเทศนี้มีลักษณะคล้ายกับเกาะที่มีทะเลล้อมรอบ
จะว่าไปมันก็ไม่คล้ายหรอก มันคือเกาะกลางทะเลดีดีนี่เอง เพียงแต่มีลักษณะใหญ่กว่าในความหมายของคำว่าเกาะที่พวกเราคุ้นเคย
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าอากาศจะหนาว
แต่พอบางทีที่เดินเล่นในป่าอยู่ดีๆแล้วฝนตก ก็อาจทำให้เกิดอาการเหนียวตัวและอยากอาบน้ำตามประสาคนไทยได้
แต่ก็นั่นแหละ ผมแค่อยากจะลองพิสูจน์ไอเดียที่เพิ่งขึ้นมาในหัวว่าจะสามารถทำได้จริงไหม
ผมใช้ภาชนะที่หาได้ในรถที่มองดูแล้วน่าจะนำมาใช้เป็นขันได้
จากนั้นก็เดินไปที่แม่น้ำ ถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือเพียงกางเกงในตัวเดียว
ตักน้ำจากแม่น้ำที่กำลังไหลเชี่ยว แล้วค่อยๆอาบไป คล้ายๆกับที่เราเคยเห็นคนอาบน้ำตามลำคลองในประเทศไทยนั่นแหละ
น้ำที่นี่เย็นเจี๊ยบเลย แต่ผมก็รู้สึกสนุกและตื่นเต้นที่ได้ทำ
แม้ว่าวิธีการนี้จะเป็นสิ่งที่คุณสามารถพบได้ที่บ้านเรา
แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นบ่อยที่นี่ แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นไปได้
หลังจากที่ผมอาบน้ำสระผมอย่างสบายตัวเรียบร้อยแล้ว ฝนก็ตั้งเค้าและตกโปรยปรายลงมาพอดี
แต่ผมก็เข้ามาอยู่ในรถแล้วล่ะ ผมจัดแจงเช็ดตัวให้แห้ง
เปลี่ยนเสื้อผ้าและหยิบเสื้อกันหนาวมาคลุมตัวตามเดิม ซึ่งปกติผมจะใส่ประมาณสามตัว
สำหรับช่วงเวลาตอนเย็นจนถึงหัวค่ำแบบนี้ ไม่มีอะไรมีความสุขเท่ากับได้อาบน้ำเสร็จ
แล้วใส่เสื้อผ้าอุ่นๆนั่งอยู่ในรถ แล้วมองดูฝนที่ตกโปรยปรายด้านนอก
พร้อมกับนั่งกินขนมไปด้วยอีกแล้ว
เป็นความรู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ทำลงไปทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นไม่แน่ใจว่ามันจะดีหรือเปล่า
ในค่ำวันนั้นมีรถเข้ามาจอดที่แคมป์นี้ประมาณห้าคัน
และเนื่องจากมีพื้นที่กว้างขวาง
รถแต่ละคันจึงจอดห่างกันพอสมควรเพื่อความเป็นส่วนตัว
แต่สักพักหนึ่งก็มีรถเก๋งคันนึงแล่นเข้ามา เปิดเพลงจังหวะโจ๊ะๆเสียงดัง
พร้อมกับมีผู้โดยสารนั่งมาเต็มคัน
พอพวกเขารู้ว่าไม่ได้เป็นคนกลุ่มเดียวที่อยู่ที่นี่เพียงลำพัง พวกเขาจึงลดเสียงเพลงลง
ผมสังเกตผ่านกระจกรถก็พอเดาได้ว่าพวกเขาเป็นคนท้องถิ่น
เมื่อเวลาผ่านไปสักพักก็เข้าใจว่าพวกเขามาหาที่เงียบๆเพื่อเสพอะไรสักอย่าง
แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องของเขา
คนเราสามารถมีความสุขตามแบบของใครของมันได้หากไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ผู้อื่น
พวกเขานั่งจ๊งอยู่ในรถสักพัก แล้วก็กำลังจะกลับ
แต่พอเริ่มสตาร์ทเครื่องเท่านั้นแหละ เครื่องยนต์กลับสตาร์ทไม่ติดซะงั้น
พอพวกเขาพบว่าเป็นเพราะน้ำมันหมดก็พากันโวยวายโน่นนี่ แต่ผมก็ได้ยินไม่ถนัดหรอก
เพราะรถของผมอยู่ห่างออกมาประมาณหนึ่ง พวกเขาจึงให้ผู้หญิงสองคนที่มาด้วยเดินไปตามรถคันต่างๆที่อยู่ละแวกนั้น
ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่าพวกเขาต้องการอะไร
แต่พอพวกเขาย้ายจากคันโน้นมาคันนี้จนสุดท้ายก็มาถึงคันของผม
ผมจึงได้รู้ว่าพวกเขาต้องการเบนซิน อย่างน้อยก็เพียงเพื่อจะขับกลับเข้าเมือง
ผมไม่รอช้าเพราะยินดีจะช่วยอยู่แล้ว และเบนซินในถังสำรองก็มีอยู่เต็ม
ผมจึงลงจากรถแล้วเดินตามพวกเขากลับไปที่รถ
ผมเติมน้ำมันให้โดยใช้ท่อนบนของขวดน้ำอัดลมพลาสติกเป็นกรวยสำหรับช่วยในการเติม
พอเติมเสร็จพวกเขาก็ยื่นเงินให้ผมห้าเหรียญ แต่ผมก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก
ถือว่าช่วยกัน แต่เมื่อเขายืนยันที่จะให้ ผมจึงรับไว้เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ
ชายคนหนึ่งในรถที่ดูพอจะมีสติมากที่สุดในกลุ่มเดินออกมาคุยเล่นกับผม
ถามโน่นนี่เกี่ยวกับประเทศไทย ในขณะที่ชายอีกคนหนึ่งที่อยู่ในวัยกลางคนที่ไว้ผมยาว
และมีรอยสักเต็มตัว เดินเซๆมาหาผม แล้วเอามือมาจับหัวผมเพื่อที่จะโน้มไปหาหน้าเขา
ด้วยความไม่ทันตั้งตัวและไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร ผมจึงผงะหัวออกมา คนอื่นๆก็เลยขำ
และอธิบายว่าเขาแค่ต้องการทำท่าทักทายแบบคนพื้นเมือง อ้อๆ
ผมก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าคนที่นี่เขาจะเอาหน้าผากและจมูกแนบชิดกันสักประมาณหนึ่งถึงสองวินาทีเพื่อเป็นการทักทาย
ผมจึงยอมที่จะทำอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมเป็นฝ่ายเข้าไปหาเขาเอง
แม้จะรู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง
แต่ผมก็มองว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ได้ลองทักทายด้วยวิธีนี้กับคนพื้นเมือง เพราะนี่ถือว่าเป็นครั้งแรกของผมเพราะเคยได้เห็นแต่ในรูป
ผมคุยกับพวกเขาสักพักหนึ่งก็ขอตัวเดินกลับมาที่รถ พอผมเดินกลับมาถึง ก็เกิดเอะใจว่า
น้ำมันที่ผมเติมให้พวกเขาไปนั้นอาจจะไม่พอที่จะขับกลับเมือง
เพราะผมไม่รู้ว่าเมืองอยู่ไกลแค่ไหน และตอนนั้นมันก็มืดด้วย จนผมไม่แน่ใจในปริมาณน้ำมันที่ผมเติมให้
ผมแค่ไม่อยากให้พวกเขาเสี่ยงกับการที่น้ำมันหมดกลางทางอีก
ผมจึงเดินย้อนกลับไปเติมให้พวกเขาอีกเป็นรอบที่สอง พวกเขาอาจจะงงกับการกระทำของผม
แต่ผมก็คิดว่ามันก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่ หลังจากนั้นผมจึงกลับมาที่รถ
และหลังจากที่ผมกลับเข้าที่นอนได้ไม่นาน พวกเขาก็ออกรถ
ตอนผ่านรถผมพวกเขาตะโกนออกมาว่า Thank you ด้วย
และคืนนั้นก็ผ่านไปอย่างสงบพร้อมกับสายฝนที่ตกปรอยๆเช่นเคย
ผมชอบที่ได้เจอเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดคิดแบบนี้ แล้วจบลงด้วยมิตรภาพจากการแสดงน้ำใจ
แม้ว่าพวกเขาจะมาที่นี่เพื่อเหตุผลใดก็ตาม แต่นั่นมันไม่ใช่ประเด็น สิ่งสำคัญก็คือ
พวกเขาก็เป็นคนเหมือนกันกับเรา และเราก็ไม่ควรที่จะตัดสินใครแค่เพียงจากลักษณะภายนอก
No comments:
Post a Comment