ผมมุ่งไปเมืองต่อไปที่คิดว่าน่าสนใจ ขับรถเลาะชายฝั่งตะวันตกไปเรื่อยๆ
ดังนั้นวิวด้านซ้ายก็จะเป็นทะเลที่กว้างใหญ่เคว้งคว้าง
ปกติหากอยู่ในอารมณ์แบบนี้ผมก็จะขับอยู่ที่ความเร็วประมาณ70 ไม่ใช่เพราะผมกลัวการขับรถเร็ว
แต่เป็นเพราะผมไม่รู้ว่าจะรีบไปทำไม ในเมื่อวิวตอนขับรถมันช่างเจริญหูเจริญตาขนาดนี้
ผมแทบจะไม่เคยเปิดแอร์ในรถคันนี้เลย แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันยังใช้ได้ดีอยู่หรือเปล่า
อาจเป็นเพราะผมได้มันมาในฤดูหนาว และในช่วงนี้ก็ยังอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ
ซึ่งผมรู้สึกว่ามันยังหนาวอยู่ แค่การแง้มกระจกสักประมาณ 1-2 เซนติเมตร ทางด้านคนขับ
ก็เพียงพอแล้วสำหรับการได้สัมผัสอากาศบริสุทธิ์จากภายนอก
พอพระอาทิตย์ใกล้จะตก
ผมก็เริ่มมองหาที่พักแรม
ผมไม่ขออะไรมากเกินกว่าการมีที่ให้จอดรถที่ไม่เฉอะแฉะเกินไป และมีห้องน้ำให้ใช้ในตอนเช้าก็พอ
เพราะเรื่องอาหาร หากไม่ใส่ใจเรื่องความแปลกใหม่และเลิศรสมากนัก ผมก็มีอยู่พร้อม
น้ำดื่มก็มีเต็มถัง น้ำมันเบนซินและน้ำมันเครื่องก็เตรียมสำรองไว้เช่นกัน
ผมจำเป็นที่จะต้องเช็คระดับน้ำมันเครื่องและต้องคอยเติมเป็นประจำเมื่อต้องเดินทางไกลแบบนี้
ทั้งนี้หากรถอยู่ในสภาพปกติมันก็คงจะไม่พร่องเร็วขนาดนี้หรอก
แต่ก็ถือว่าเป็นการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าที่อาจจะต้องเพิ่มเงินซื้อน้ำมันเครื่องบ่อยสักหน่อย
สำหรับวันนี้ ผมมาเจอที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นหน้าผาติดชายทะเล
ที่อยู่ติดกับหมู่บ้านที่แสนสงบแห่งหนึ่ง ที่จอดรถที่ผมคิดว่าจะจอดในคืนนี้นั้นเป็นเพียงจุดชมวิว
ที่ผมแค่รู้สึกว่าปลอดภัย แม้ว่าจะมีรถของผมเพียงคันเดียวที่จอดอยู่ที่นั่นก็ตาม
ผมแค่ชอบความรู้สึกที่ได้ตื่นมาในตอนเช้า
และได้ต้มกาแฟร้อนๆกินกับแอปเปิ้ลหรือขนมปัง
ขณะเดียวกันนั้นก็นั่งมองดูธรรมชาติรอบตัว ทั้งพระอาทิตย์ ทะเล เสียงนกร้อง
หญ้าสีเขียวๆ และความผสมผสานกันอย่างลงตัวของสิ่งต่างๆที่ไม่ได้มีใครเป็นผู้ออกแบบ
เพราะมันก็แค่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ความรู้สึกแบบนี้ช่างมีเสน่ห์
บางครั้งผมรู้สึกเหมือนกำลังเสพติดสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่ผมไม่ต้องออกแรงหรือใช้ความพยายามใดใดเพื่อที่จะให้ได้มันมา
เพียงแค่นั่งเฉยๆแล้วปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับภาพที่อยู่ตรงหน้า
จากที่นั่น ผมเดินทางต่อไปยังเทือกเขา Tongariro ที่เลื่องชื่อ
เนื่องจากเคยเป็นที่ถ่ายทำภาพยนต์เรื่อง Lord of the Ring อันที่จริงผมก็ไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้หรอก
เพียงแค่เคยได้ยินเขาพูดๆกัน แต่ที่มาที่นี่ก็เพียงเพื่อจะมาเจอเพื่อนที่เคยเจอกันที่
Wanganui เขาเคยบอกว่าได้มาทำงานที่แบคแพคเกอร์แถวนี้
ซึ่งไหนๆก็เป็นทางผ่านอยู่แล้วผมก็เลยแวะมาเจอสักหน่อย
พวกเราเดินเล่นไปตามแทรกต่างๆ
พร้อมกับแลกเปลี่ยนข้อมูลกันไป ในมุมมองของผม ที่นี่ถือว่ามีคนมาเที่ยวค่อนข้างเยอะ
แม้ว่าในช่วงนี้อากาศจะยังเย็นอยู่ก็ตาม หลังจากแยกกับเพื่อน
ผมก็ยังไม่ได้มีเป้าหมายว่าจะไปที่ไหนต่อ นอกจากจะรอขึ้นเขาในวันพรุ่งนี้
ซึ่งโดยปกติจะต้องใช้เวลาทั้งวันในการเดินข้ามแนวเทือกเขาจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง
ผู้ที่มาเที่ยวจะต้องจอดรถไว้ที่ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง แล้วเมื่อเดินไปสิ้นสุดอีกฝั่ง
จึงค่อยย้อนกลับมาเอารถ โดยอาจจะมากับนักท่องเที่ยวคนอื่นหรือจะใช้บริการรถบัสของที่นั่นก็ได้
ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายสามโมงที่มีบรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน
ซึ่งเป็นปกติสำหรับฤดูใบไม้ผลิที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น
ผมจึงคิดว่าน่าจะลองไปสำรวจจุดที่จะต้องเริ่มเดินพรุ่งนี้ดีกว่า
ว่าแล้วผมจึงออกจากเมืองและมุ่งไปยังจุดสตาร์ทของการขึ้นเทือกเขา Tongariro
พอไปถึงที่จอดรถ ผมสังเกตเห็นรถสองคันจอดอยู่ที่นั่น ซึ่งไม่มีคนอยู่ที่รถ
ที่นี่มีป้ายห้ามจุดไฟและห้ามพักค้างแรมติดไว้ชัดเจน
เนื่องจากในพื้นที่ภูเขาไฟแบบนี้ อาจมีแก๊สบางอย่างที่มีคุณสมบัติไวไฟ
และการไม่ให้พักค้างแรมก็น่าจะด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัย
จะว่าไปตอนที่ผมไปถึงก็เพิ่งเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ
ผมจึงคิดว่า เอาว่ะ ไปเดินเล่นฆ่าเวลาดีกว่า ไหนๆก็ไม่รู้จะทำอะไรอยู่แล้ว
คิดว่าพอเดินไปสักหน่อยแล้วค่อยเดินกลับมา
แล้วพรุ่งนี้ค่อยขึ้นไปใหม่แบบจริงจังก็ได้ เพราะถึงอย่างไรหากจะจริงจังตอนนี้ก็คงไม่ทันอยู่แล้ว
เพราะโดยปกติเคยได้ยินมาว่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 6-8 ชั่วโมงในการข้ามจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง
ผมเริ่มออกเดินไปเรื่อยๆ โดยวิวทิวทัศน์โดยรอบจะเป็นลักษณะก้อนหินเชิงเขา
และข้างทางจะมีธารน้ำไหลที่อยู่ไม่ห่างจากแนวทางเดิน
ผมไม่ค่อยสังเกตเห็นพืชขึ้นมามากนัก
อาจเป็นเพราะเพิ่งจะผ่านช่วงฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมมาหมาดๆ
แม้ว่าตอนนี้หิมะจะละลายไปมากแล้ว
แต่หากมองขึ้นไปบนยอดเขาก็ยังสามารถเห็นหิมะปกคลุมอยู่บ้าง
แม้จะไม่ดูกลมกลืนทั้งหมดก็เถอะ ผมเดินเรื่อยมาจนมาถึงบ่อน้ำพุ ซึ่งเป็นน้ำที่พุ่งออกมาเนื่องจากแรงดันด้านล่าง
ตอนแรกผมนึกว่ามันจะร้อน แต่พอได้เอามือไปสัมผัสก็พบว่ามันเป็นเพียงน้ำเย็นๆธรรมดา
พอเดินผ่านจุดนั้นมาสักพัก
ผมก็มีโอกาสได้เจอกับนักเดินทางสามคนกำลังเดินสวนมา
พวกเขาคงจะเริ่มเดินมาจากอีกฟากหนึ่งในตอนเช้า พอเราได้มาหยุดคุยกัน
พวกเขาก็แปลกใจที่ผมมาคนเดียวในชุดที่ไม่น่าจะมาขึ้นเขาแบบนี้
เพราะผมใส่ยีนส์และรองเท้าหุ้มส้นธรรมดา
ในขณะที่พวกเขามีทั้งเสื้อกันหนาวและเสื้อกันฝน
พร้อมกับสวมรองเท้าที่มีไว้เพื่อเดินบนหิมะโดยเฉพาะ พวกเขาแนะนำผมว่าอย่าเพิ่งขึ้นไปเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในชุดแบบนี้ เพราะอากาศด้านบนในตอนนี้นั้นโหดมาก
พร้อมกับเปิดวีดีโอที่บันทึกไว้ในโทรศัพท์ให้ผมดู ซึ่งมันเป็นภาพของทั้งฝน ลม
และหิมะผสมกัน ใช่แล้ว มันดูโหดจริงๆ
ผมจึงบอกไปว่าผมยังไม่คิดจะเดินไปถึงข้างบนหรอก
เพียงแค่อยากเดินเล่นเป็นการซ้อมสำหรับพรุ่งนี้เท่านั้น
หลังจากแยกกับพวกเขา ผมยังคงมุ่งหน้าเดินต่อไป
พอมีความคิดแว่บเข้ามาว่า “พอแล้วม้าง.. พรุ่งนี้ค่อยขึ้นมาใหม่”
ก็จะมีอีกเสียงหนึ่งแย้งเข้ามาว่า “เอาอีกหน่อยเถอะ
นี่ก็ใกล้จะถึงจุดที่นายจะได้แตะหิมะเป็นครั้งแรกแล้ว นั่นงัยอยู่อีกไม่ไกลเลย”
จากตรงนั้น ระยะทางที่เคยเป็นทางราบก็เริ่มชันขึ้นๆ หากประมาณดูตามความรู้สึก ผมคงเดินมาได้เกือบชั่วโมงแล้วล่ะ
และตั้งแต่ที่ผมเจอกับสามคนนั้น ผมก็ไม่ได้เจอใครเดินสวนทางมาอีกเลย บรรยากาศดูอึนครึมเพราะเป็นยามเย็นที่ฟ้าครึ้ม
ผมเชียร์ตัวเองให้เดินขึ้นไปอีกนิดและอีกนิด เพื่อที่จะให้ถึงจุดที่พอจะเห็นก้อนน้ำแข็งขาวๆอยู่
ต้องขอบอกตามตรงว่าผมไม่ใช่คนที่ทนกับความหนาวได้สักเท่าไหร่
แม้ว่าผมจะเป็นคนชอบบรรยากาศในฤดูหนาวก็ตาม และถึงแม้ผมจะยังไม่เคยสัมผัสกับหิมะจริงๆและอยากจะลองสัมผัสมันดูสักครั้ง
แต่การจินตนาการให้ตัวเองไปเดินเล่นท่ามกลางหิมะก็ยังเป็นสิ่งที่ผมกลัวๆกล้าๆที่จะนึกถึงอยู่ดี
แต่ถึงกระนั้น
ผมก็ผลักตัวเองขึ้นมาสู่บริเวณที่พอจะมีเกร็ดก้อนน้ำแข็งที่ยังละลายไม่หมดหลงเหลืออยู่บ้าง
และในที่สุดผมก็ได้นำมือไปสัมผัสกับก้อนน้ำแข็งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเป็นครั้งแรก
และถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่หิมะจริงๆ แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกพอใจได้มากแล้ว
พอมองต่อขึ้นไปยังเส้นทางที่จะพาไปสู่แนวเขาที่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ
ผมไม่สามารถมองได้สูงเกิน 50
เมตร เนื่องจากด้านบนมีเมฆหมอกปกคลุมไว้สนิท
จากจุดที่ยืนอยู่นั้น ความรู้สึกที่อยากจะขึ้นไปให้สูงกว่านี้อีกได้มอดดับลงไปแล้ว
ซึ่งก็น่าจะมาจากสาเหตุที่ผมรู้สึกว่า ผมได้สัมผัสกับสิ่งที่ผมเคยสงสัยแล้ว
กับอีกเหตุผลหนึ่งที่คิดกับตัวเองว่า
ผมจะต้องเอาตัวเองขึ้นไปลำบากข้างบนเพื่อสิ่งใดกัน
ในเมื่อตอนนี้ผมรู้สึกพอใจกับจุดที่ผมยืนอยู่แล้ว เอาล่ะ! ได้เวลาเดินกลับแล้ว
แม้ว่าช่วงขากลับผมจะก้าวได้เร็วกว่าตอนที่ขึ้นมา แต่การที่ดวงอาทิตย์กำลังจะตกไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าเดินทางได้เร็วเลย
แบตโทรศัพท์ของผมตอนนี้ได้หมดลงไปแล้วโดยสมบูรณ์ นั่นหมายความว่า
ไอเดียที่จะใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์ก็ได้มอดไปด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม
ผมได้ผ่านช่วงที่เป็นภูเขาลาดชันมาแล้วในตอนที่ฟ้ามืดสนิท
คำว่ามืดสนิทที่ผมว่าคือมืดจนแทบจะไม่เห็นอะไรเลย
ดีหน่อยที่ยังมีทางไม้ไว้เป็นทางเดิน
อย่างน้อยผมก็ยังมั่นใจว่าไม่ได้เดินออกนอกเส้นทาง
แต่ความระทึกมันมาอยู่ในช่วงที่ทางไม้นั้นสิ้นสุดลง
และจะเป็นทางที่มีเพียงกรวดทรายธรรมดา
ในสภาวะโดยรอบที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่เลยสักต้น
มีแต่เพียงกอหญ้าและแนวกรวดทราย ในสภาวะที่ไร้แสงจันทร์และฟ้ามืดครึ้มแบบนั้น
ผมแทบจะมองไม่ออกเลยว่าผมกำลังเดินอยู่บนทางที่ทำไว้ให้ หรือผมเดินออกนอกเส้นทางไปแล้ว
ความวิตกกังวลเริ่มก่อตัวขึ้น และความตื่นเต้นที่นึกขำตัวเองก็เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน
(เรามาถึงจุดนี้ได้งัยว่ะเนี่ย) แต่เท้าก็ไม่ได้หยุดก้าวแต่อย่างใด ที่น่าเศร้าคือ
แม้แต่บริเวณที่ผมจอดรถก็ไม่ได้มีแสงไฟใดใดเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย ผมเผชิญกับสถานการณ์นั้นอยู่สักพัก
จนเดินมาใกล้พอที่จะเห็นสิ่งปลูกสร้างเป็นลางๆ ซึ่งนั่นก็คือบริเวณจุดสตาร์ทและลานจอดรถนั่นเอง
ใจเริ่มชื้นขึ้นมาแล้ว ผมรีบสาวเท้าไปที่รถ
เพราะทั้งรู้สึกหิวและกระหายน้ำเอามากๆ
พร้อมกับรู้สึกเพลียๆแบบไม่ค่อยจะมีแรง
และสิ่งที่ผมคว้าติดมือมาจากข้างหลังรถก็คือ สปาเก็ตตี้กระป๋อง พอพาตัวเองมานั่งที่เบาะข้างคนขับได้แล้ว
โดยหวังว่าจะได้กินอาหารคำแรกเสียที แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่า
กระป๋องสปาเก็ตตี้ยี่ห้อนี้เป็นแบบที่ต้องใช้ที่เปิด
เนื่องจากไม่มีห่วงให้ดึงเหมือนกระป๋องทูน่าที่ผมคุ้นเคย
ผมจึงเพิ่งมาถึงบางอ้อว่าทำไมยี่ห้อนี้จึงถูกกว่ายี่ห้ออื่น ผมต้องลงจากรถแล้วหอบตัวเองลงไปหาที่เปิดกระป๋องที่หลังรถอีกครั้ง
เมื่อกระป๋องอาหารถูกเปิดออก แม้จะอยู่ในความมืด หรือด้วยความอ่อนล้า
หรือแม้ว่าอาหารจะเย็นเฉียบก็ไม่ใช่ปัญหาใดใดอีกต่อไป
เมื่อสภาวะร่างกายของคุณอยู่ในจุดที่หิวจนสุดขีด รสชาดจะเป็นอย่างไรนั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง
อย่างน้อยในตอนนี้ผมก็กำลังเคี้ยวมันอยู่ในปาก และค่อยๆกลืนมันลงไปทีละคำๆ
หลังจากเมนูสปาเก็ตตี้ในซอสมะเขือเทศได้หมดลง
กิจกรรมอื่นที่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนได้ถูกตัดออกไป
เพราะผมรู้สึกเพลียเกินกว่าที่จะอยากทำอะไรอีก พอบ้วนปากเสร็จ
และล็อคประตูรถเป็นที่เรียบร้อย ที่ที่เดียวในตอนนั้นที่ผมหวังว่าจะไปให้ถึงเร็วที่สุดก็คือ
ที่นอนที่อยู่หลังรถ ณ เวลานี้ แม้จะมีข้อห้ามค้างแรมใดใดผมก็ไม่สนใจแล้ว
ไม่ใช่ว่าผมอยากจะฝ่าฝืน แต่เพราะดูๆไปแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ในเมื่อผมก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับพื้นที่นั้นแต่อย่างใด และด้วยความอ่อนล้า
จึงไม่มีเรื่องใดในหัวผุดเข้ามาให้คิดอีก ผมจึงหลับไปอย่างง่ายดายในคืนนั้น
ในเช้าวันต่อมา ผมรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอดบริเวณนั้น
แม้ว่าผมจะตื่นสายกว่าปกติ แต่มันก็ยังคงเช้าอยู่ ในตอนนั้นผมไม่มีนาฬิกาใดใดให้ดู
เนื่องจากอุปกรณ์ที่ใช้แบตตารี่ทั้งหมดที่มีอยู่ในรถ ได้สิ้นพลังงานลงไปแล้วอย่างสมบูรณ์
แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะผมไม่ได้มีธุระอะไรที่จะต้องไปให้ทันเวลาอยู่แล้ว ผมเดินไปเข้าห้องน้ำ แปรงฟัน
ล้างหน้าเพื่อให้รู้สึกสดชื่นกับวันใหม่ และตอนที่ผมเดินกลับมาที่รถ ผมจึงพบว่ามีรถนำเที่ยวที่บรรทุกนักท่องเที่ยวมาเต็มคันเพิ่งจะเลี้ยวเข้ามา
พวกเขาน่าจะมีความหวังในการมาพิชิตยอดเขาเลื่องชื่อแห่งนี้ในวันนี้
แต่ผมรู้สึกพอแล้วล่ะ แม้ว่าผมจะยังไม่เคยไปยืนอยู่บนยอดเขาก็ตาม ผมรู้สึกพอแล้วจริงๆ
ก็แค่พอใจในแบบที่ตัวเองพอใจนั่นแหละ ผมเดินขึ้นรถแล้วขับออกมาอย่างสบายใจ
บางทีความน่าสนใจของภูเขาไม่ได้อยู่ที่การขึ้นภูเขา
แต่อาจอยู่ที่การได้มองเห็นภูเขาตอนที่เรายืนห่างออกมาก็ได้
เพราะเมื่อผมขับรถออกมาจากทางเข้า Tongariro ได้ไม่นาน ผมก็ได้มาจอดรถบริเวณข้างทางใกล้ๆกับละแวกนั้น
เพื่อที่จะชงกาแฟและดื่มด่ำกับอาหารเช้า และการได้มีกาแฟร้อนๆอยู่ในมือ
กับขนมปังนุ่มๆ พร้อมกับวิวภูเขาสูงที่อยู่ตรงหน้า ที่ดูยิ่งใหญ่และทรงพลัง
ทั้งหมดนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ยามเช้าในฤดูใบไม้ผลิ ที่สภาพอากาศยังคงเย็นอยู่
ดูสดใสและผ่อนคลายได้มากเลยทีเดียว แม้ว่าผมจะยังไม่เคยขึ้นไปอยู่บนยอดเขาลูกนั้นก็ตาม
แต่การได้มาอยู่ ณ จุดนี้ ในเวลาเช้าที่มีกาแฟอุ่นๆในมือแบบนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่า
ผมไม่เคยพิชิตยอดเขา Tongariro
แม้ว่าจะมาถึงแล้ว
ไม่ได้มีผลอะไรกับความรู้สึกของผมเลย
เพราะภาพตรงหน้ามันเพียงพอแล้วที่ผมจะรู้สึกดี เมื่อมีโอกาสได้มาเยือนที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง
No comments:
Post a Comment