Friday, 7 September 2018

คำนำและบทสรุป


         

คำนำและบทสรุป


          รูปแบบการเดินทางเป็นเรื่องราวเฉพาะบุคคล ไม่มีการเดินทางเส้นไหนจะวิเศษกว่าเส้นทางไหน เพราะทั้งหมดล้วนเป็นรูปแบบหนึ่งของการเดินทาง งานเขียนนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ในการถ่ายทอดประสบการณ์การเดินทางในรูปแบบหนึ่งเท่านั้น ประโยชน์ของมันจะมีหรือไม่นั้น จะมีมากหรือมีน้อย ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ของแต่ละปัจเจกบุคคล ผู้เขียนเพียงแค่รู้สึกว่า ประโยชน์ของประสบการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในความทรงจำของผู้เขียนน่าจะมีประโยชน์มากขึ้นกว่าในระดับส่วนตัว เมื่อมันได้ถูกถ่ายทอดออกมา


          แม้ว่าการอธิบายสถานที่ท่องเที่ยวใน New Zealand ตามที่ต่างๆของผมจะประกอบไปด้วยความรู้สึกต่างๆมากมาย แต่โดยปกติของความเป็นธรรมชาติแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็สามารถเป็นสิ่งที่สวยงามได้เสมอ ผมรู้สึกขอบคุณต่อประสบการณ์ที่ทำให้ผมได้ไปเยือน NZ ในครั้งนั้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าวิวทิวทัศน์ของประเทศนี้ก็คือ การมีมุมมองที่เข้าใจความสวยงามของธรรมชาติรอบตัว โดยไม่ขึ้นว่าจะต้องอยู่ที่ใด อันได้แก่ การเข้าใจความเปลี่ยนแปลงและฤดูกาลของสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนสภาพไปเสมอตามวัฏจักรของสิ่งมายา มุมมองเช่นนี้ต่างหากที่เป็นสิ่งมีประโยชน์อย่างแท้จริง เนื่องจากจะช่วยให้เราผ่านสิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กับเราไปได้โดยที่ไม่ส่งผลต่ออารมณ์มากนัก เพราะการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมายาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

          ผมขอเอาหน้านี้ไว้เป็นหน้าแรก และหากเป็นไปได้ ผมอยากขอให้ผู้อ่านกลับมาอ่านหน้านี้อีกครั้งหลังจากที่ได้อ่านเรื่องราวต่างๆจบลงแล้ว เพื่อที่หน้านี้จะได้เป็นทั้งจุดเริ่มต้นและบทสรุปในเวลาเดียวกัน


Navee  Chaiyasang

1. ปฐมบทของการเดินทาง


นิยายปรัมปรา Working Holiday Visa New Zealand





เรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในขณะที่ได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ด้วยวีซ่า Working Holiday เป็นเวลารวมทั้งสิ้น 15 เดือน โดยเป็นระยะเวลาที่ทำการยื่นขอต่อวีซ่าแล้ว ตลอดระยะเวลาดังกล่าว จะมีทั้งช่วงเวลาที่ราบรื่น ช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้น และช่วงเวลาที่ต้องใช้ความอดทน

จุดประสงค์ของการเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพื่อที่จะสร้างความบันเทิงให้กับผู้ที่สนใจ และหวังว่าข้อมูลหรือประสบการณ์ต่างๆที่ผมได้ประสบมา อาจจะมีประโยชน์กับผู้ที่กำลังจะเดินทางไปในดินแดนที่เป็นมิตรกับธรรมชาติแห่งนี้บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย และเข้าใจว่าช่วงขาขึ้นและขาลงของเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่เป็นการเพิ่มสีสันให้กับประสบการณ์ทั้งสิ้น

             แม้บางครั้งอาจจะมีช่วงที่ไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง แต่การมองย้อนกลับไปก็ไม่ได้ทำให้ผมนึกอยากเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ณ ช่วงเวลานั้นตามสภาวะปัจจัยต่างๆ  สิ่งที่สำคัญและมีประโยชน์จริงๆก็คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นๆ และถ้าหากมันยังสามารถเป็นประโยชน์กับผู้อื่นได้อีกนั่นก็เป็นโบนัสที่ดีทีเดียว และนี่ก็อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งของการถ่ายทอดเรื่องราวที่ผมจะเล่าต่อไปนี้

ทำไมถึงอยากไปนิวซีแลนด์ ?

        ก่อนหน้าที่ผมจะไปนิวซีแลนด์ผมเคยทำงานอยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง โดยทำหน้าที่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ผมสอนอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 3 ปี พอพูดถึงเรื่องนี้ก็น่าจะเท้าความไปถึงสาเหตุที่ทำให้ผมมาเป็นครูที่โรงเรียนแห่งนี้ ผมมีความประทับใจผู้บริหารของโรงเรียนแห่งนี้ซึ่งก็คือ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผมชอบวิสัยทัศน์ของท่านที่มีต่อการศึกษาและการพัฒนา ท่านเชื่อว่าการพัฒนาหรือการเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้นนั้น ควรเริ่มต้นจากการพัฒนาการศึกษาของเด็ก และการที่จะทำให้ไปสู่จุดนั้นได้ก็คือ การหล่อหลอมให้เด็กเป็นคนดี

 ณ ตอนนั้นผมกำลังเรียนอยู่ในชั้นปีที่ 4 และกำลังมองหาที่ฝึกงานที่ผมสนใจ พอดีกับช่วงนั้นผมได้มีโอกาสรู้จัก ดร.อาจอง ผ่านทางโทรทัศน์และได้ฟังแนวคิดของท่าน ผมในขณะนั้นมีความต้องการที่จะเจอท่านมาก จึงขอให้ทางคณะช่วยส่งจดหมายไปที่โรงเรียนเพื่อขอฝึกงาน และนั่นก็ทำให้ผมได้ฝึกงานเป็นครูสอนวิชาภาษาอังกฤษที่โรงเรียนแห่งนั้นเป็นระยะเวลาประมาณ 4 เดือน

ในระหว่างนั้นผมได้มีโอกาสคุยกับท่านอาจารย์อาจองอยู่บ้าง ซึ่งก็ช่วยให้ความรู้สึกที่อยากเจอท่านก่อนหน้านั้นค่อยๆคลี่คลายลงไปได้ แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกผูกพันธ์กับโรงเรียนแห่งนั้นก็คือ บรรยากาศที่อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติและนักเรียนที่ผมได้มีโอกาสสอน รวมถึงมิตรภาพที่ครูและพนักงานในโรงเรียนแห่งนั้นที่ทำให้ผมรู้สึกดี

หลังจากที่ผมสอนจนครบภาคเรียนนั้นแล้ว ทางโรงเรียนก็ชวนผมให้สมัครเป็นครูเพื่อสอนต่อในปีการศึกษาต่อไป ในตอนนั้นผมรู้สึกขอบคุณที่ทางโรงเรียนยื่นข้อเสนอนั้น แต่ใจผมยังไม่พร้อม ตอนนั้นผมต้องการที่จะเดินทางไปเรียนรู้เกี่ยวกับการเกษตรและการแพทย์แผนไทยที่ผมสนใจ  และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ผมรู้สึกไม่ดีหากผมจะต้องสอนภาษาอังกฤษในเทอมต่อไปและต้องบอกนักเรียนว่าการมีทักษะภาษาอังกฤษจะทำให้พวกเขาหางานทำได้ง่าย โดยที่ตัวผมเองยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานอื่นนอกจากงานสอนเลย พูดง่ายๆก็คือถ้าผมยังไม่เคยทำแบบนั้นได้ ผมจะไปโน้มน้าวเด็กในปกครองของผมให้เชื่อได้อย่างไร

ผมจึงบอกปฏิเสธกับทางโรงเรียนและใช้เวลาในช่วงหนึ่งปีถัดมาไปกับการเดินทาง เพื่อไปเรียนรู้กับปราชญ์ชาวบ้านด้านการเกษตรหลายแห่ง และได้มีโอกาสได้ลองทำสวนเล็กๆของตัวเอง ซึ่งทำให้ได้เรียนรู้ว่าเงินทุนสำรองช่วงเริ่มต้นนั้นเป็นสิ่งจำเป็น

ผมได้มีโอกาสไปเรียนรู้แพทย์วิถีพอเพียงของหมอเขียวที่จังหวัดมุกดาหาร ได้ลองลงไปทำงานโดยใช้ทักษะภาษาอังกฤษที่จังหวัดภูเก็ตโดยทำงานเป็นพนักงานต้อนรับที่โรงแรมแห่งหนึ่งในหาดกัมลา สาเหตุที่เลือกไปทำงานที่นั่นก็เพราะผมอยากเห็นทะเลฝั่งอันดามัน ผมเคยนึกอิจฉาฝรั่งที่สะพายกระเป๋าใบใหญ่ๆมาเที่ยวทะเลเมืองไทย จึงถือโอกาสนี้ใช้วิชาความรู้ที่มีพาตัวเองไปเที่ยวซะเลย

 และหลังจากใช้เวลาไปกับความต้องการของตัวเองครบหนึ่งปี ผมก็กลับไปสอนที่โรงเรียนแห่งนั้นอีกครั้ง ความต้องการในการกลับมาในครั้งนี้ก็เพื่อมาทำให้ดีกว่าครั้งก่อน เด็กรุ่นที่ผมสอนตอนมาฝึกงานนั้น ผมอยากกลับมาเจอพวกเขาอีกครั้ง ผมอยากกลับมาบอกว่าทักษะภาษาอังกฤษสามารถช่วยให้พวกเขาหางานได้ง่ายขึ้นจริงๆ

  การกลับมาที่นี่อีกครั้งในตำแหน่งครูสอนวิชาภาษาอังกฤษไม่ได้มีเวลาว่างมากเหมือนตอนฝึกงาน ผมทำงานสอนไปเรื่อยๆและมีคำถามหนึ่งในใจตลอดเวลาคือ จะทำอย่างไรให้เด็กได้วิธีเรียนที่จะทำให้ทักษะภาษาอังกฤษดีขึ้น ผมหมกหมุ่นอยู่กับคำถามนี้มาก จนสุดท้ายมันตกผลึกที่คำตอบที่ว่า พวกเขาจะไม่เก่งจากการสอนหรือวิธีการไหนๆหรอก ของเหล่านี้มันเป็นแค่ส่วนประกอบ ใครสักคนจะเก่งทักษะอะไรขึ้นมาได้นั้นมันต้องเริ่มจากความสนใจของบุคคลนั้นเอง แล้วจะทำอย่างไรให้พวกเขาสนใจที่จะฝึกภาษาล่ะ? คำถามต่อไปผุดขึ้นมา จะทำให้ใครสนใจอะไรก็ต้องทำให้เขาเห็นประโยชน์ของมัน และประโยชน์ของภาษาอังกฤษที่จะทำให้คนรู้สึกพีคล่ะ คืออะไร? มันต้องไม่ใช่แค่เรื่องหางานง่ายและมีเงินเยอะแน่ เด็กน้อยคนนักจะนึกถึงเรื่องของการทำงานและสถานะทางสังคมตอนที่เขายังเด็กอยู่ อะไรล่ะที่จะทำให้ภาพในหัวของพวกเขาแจ่มชัดถึงประโยชน์ที่พวกเขาจะฝันถึงได้ ถ้าหากเขาเริ่มฝึกฝนภาษาอังกฤษวันนี้

ผมนึกกลับไปตอนที่ผมอยู่ ม.ต้น ตอนนั้นอะไรหรือ ที่ทำให้ผมเริ่มมาฝึกฝนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองหลังจากกลับมาจากโรงเรียน “ผมอยากเดินทางไปต่างประเทศ!” ผมอยากสัมผัสกับบรรยากาศที่ผมเห็นในหนังบ้าง ผมอยากมีโอกาสได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกกับคนต่างชาติ ต่างวัฒนธรรม สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้ผมอยากพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในตอนที่ผมยังเป็นวัยรุ่น ดังนั้นผมควรจะต้องทำให้พวกเขาเห็นว่า การได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศนั้น มันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ผ่านตัวอย่างที่ผมจะทำให้ดูนี่แหละ

 นอกจากเรื่องสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆแล้ว การเดินทางไปต่างประเทศในครั้งนี้น่าจะเป็นช่องทางที่ทำให้ผมสามารถสะสมทุน เพื่อมาเริ่มสร้างสวนที่ผมตั้งใจได้เร็วขึ้น ทั้งยังเป็นการท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตาสำหรับตัวผมเองอีกด้วย และทั้งหมดนี้ก็คือสาเหตุที่ทำให้ผมเลือกเดินทางไปประเทศนิวซีแลนด์(แต่จะว่าไปก็อาจจะเป็นเพราะ ผมรู้สึกว่าชื่อประเทศนี้ดูน่าผจญภัยดีก็ได้)

2. สิ่งของที่น่าเตรียมไปเมื่อต้องเดินทางไปอยู่ต่างแดน






ในระยะยาว สิ่งที่จะแนะนำนี้มาจากประสบการณ์ โดยผมคิดว่ามันอาจจะเป็นของง่ายๆที่น่าจะทำประโยชน์ได้มาก

1. ปลั๊กพ่วงสายไฟและอเด็บเตอร์ที่ใช้กับระบบไฟฟ้าของประเทศที่เรากำลังจะไป

        ปลั๊กพ่วงที่มีหลายช่องเสียบนั้นเราอาจจะเห็นได้ในร้านค้าทั่วไป ผมขอแนะนำไอเท็มชิ้นนี้อย่างยิ่ง เพราะไม่ว่าคุณจะอยู่ในสนามบินหรือต้องแชร์ห้องในแบคแพคเกอร์ไหนๆ ของชิ้นนี้จะช่วยคุณได้มาก ขอให้คุณได้มีโอกาสเสียบปลั๊กของคุณกับเต้าเสียบสักแห่งหนึ่ง (อย่าลืมเอาอเด็บเตอร์หรือตัวแปลงไฟที่ประเทศนั้นใช้ไปด้วยนะ จะรู้ได้งัยว่าที่โน้นเค้าใช้ปลักเสียบแบบไหนน่ะหรอ? ในอินเตอเน็ตข้อมูลเพียบ) คุณจะมีรูปลั๊กส่วนตัวให้คุณได้ชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าของคุณเพิ่มอีกหลายชิ้นในเวลาเดียวกัน และเนื่องจากปลักพ่วงมีสายที่ยาว คุณจึงสามารถขยายขอบเขตการใช้งานได้กว้างขวางขึ้น

2. หม้อหุงข้าวรุ่นมินิ อันนี้บางทีต้องไปเดินดูในห้างใหญ่ๆชั้นนำสักหน่อย เพราะร้านทั่วไปเขาไม่นิยมเอามาขายกัน เพราะขนาดของหม้อมันเหมือนกับจะเอาไว้หุงกินคนเดียว แต่ก็นั่นแหละเพราะขนาดที่เล็กของมันจะดีมากสำหรับการใส่ไว้ในกระเป๋าเดินทาง อย่าเพิ่งตกใจไปนะ อย่าเพิ่งคิดว่าอะไรจะเว่อขนาดนั้น ขนาดต้องพกหม้อหุงข้าวไปด้วยหรอ? ใจเย็นๆนะ ขอให้ลองฟังประโยชน์ของมันที่ผมจะอธิบายก่อน บางทีไอประเทศที่คุณไปอยู่เค้าก็ไม่ได้กินข้าวเป็นอาหารหลัก คุณก็อาจจะคิดว่าก็ไม่เห็นจะเป็นไร เราเป็นคนกินง่ายอยู่แล้ว สามารถปรับตัวได้สบาย ผมก็อยากจะบอกว่าผมก็เป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายเหมือนกัน และการมีหม้อหุงข้าวขนาดมินิไปด้วยก็จะโครตๆเป็นผู้ช่วยที่ดีเลย เพราะถ้าคุณเข้าใจว่าการทำกับข้าวกินเองมันประหยัดกว่าไปซื้อกินทุกมื้อ และการมีอุปกรณ์ช่วยในการทำอาหารอยู่ใกล้ตัวนั้นจะทำให้คุณได้อาหารกินเร็วขึ้นในวันที่คุณแสนจะขี้เกียจที่จะออกไปข้างนอก แล้วไหนจะวันที่มีฝนอีกล่ะ คุณก็จะเข้าใจที่ผมพูด เชื่อผมเถอะถ้าคุณจะต้องไปอยู่ต่างแดนในระยะยาว คุณจะไม่เจอหม้อหุงข้าวไฟฟ้าไว้บริการในทุกที่ที่คุณไปหรอก  รู้ไหม ฝรั่งส่วนใหญ่ที่ผมเจอตามที่พักต่างๆ พอนึกอยากจะกินข้าวขึ้นมาก็ต้องตั้งหม้อเติมข้าวเติมน้ำวางบนเตา ต้องคอยเช็คคอยคน และบางทีก็ไม่ได้ตามสเป็คที่ต้องการ การมีหม้อหุงข้าวอยู่กับคุณจะทำให้เวลาในการทำอาหารของคุณง่ายขึ้น ก็แค่ใช้อเด็บเตอร์ที่คุณมีให้เป็นประโยชน์ ทีนี้ระหว่างที่คุณรอข้าวสุก คุณก็ทำอาหารไปพร้อมๆกันได้เลย น้ำหนักหม้อเอาจริงๆไม่น่าจะเกิน 2 กก หรือเบากว่า ราคาประมาณ 500 บาท ลองพิจารณาตามไลฟสไตล์ของตัวเองดูนะคับ








3. เข็มและด้าย สองชิ้นนี้ไม่ใหญ่อะไรเลย น้ำหนักเบาแต่มีประโยชน์มากเมื่อจำเป็น ใครจะอยากทิ้งชุดทั้งชุดทั้งๆที่มันขาดแค่นิดเดียวหรือแค่กระดุมหลุดชะมะ และด้ายสีขาวและสีดำจะเป็นสองสีที่สามารถจะพอดูกลมกลืนได้กับหลายเฉดสี

4. อุปกรณ์การกินอาหาร แน่นอนตามโรงแรมที่คุณไปพักมักจะมีเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว แต่การมีช้อมสักอันสองอัน แก้วกาแฟสักถ้วย ชามพลาสติกสักใบติดกระเป๋าเดินทางไว้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายใช่ไหม

5. ปากกา เป็นไอเท็มที่มีประโยชน์มาก แต่คนมักลืมพกไป แหม่พอบอกอย่างนี้ไม่ใช่ว่าจะต้องยกโหลไปนะ ด้ามสองด้ามก็เหลือเฟือแล้ว

6. ผ้าขนหนูผืนขนาดกลางหรือเล็กก็พอ เราสามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำได้ ถ้าคุณเป็นผู้ชายก็ยิ่งง่ายเลย กระเป๋าคุณจะได้มีเนื้อที่มากขึ้น และเบาขึ้นอีกนิดนึง

7. กรรไกรตัดเล็บ ชิ้นนี้เป็นของชิ้นเล็กที่มีประโยชน์ ตอนอยากใช้เราได้ไม่ต้องไปถามหาจากคนอื่นให้วุ่นวาย

8. เสื้อผ้าจริงๆเอาไปพอดีๆนะ ขนไปเยอะบางทีก็ไม่ได้ใช้ ยิ่งประเทศที่อากาศหนาว ต่อให้เราใส่อะไรสวยๆข้างในก็ต้องสวมเสื้อกันหนาวตัวเดิมทับอยู่ดี บางทีอาจจะสวมเสื้อกันหนาวมากกว่าหนึ่งตัวด้วยซ้ำ แต่การมีกางเกงในหลายตัวนี่ผมแนะนำ เพราะบางทีเสื้อกับกางเกงอาจจะใส่ตัวเดิมได้ เพราะมันหนาวจนรู้สึกว่าไม่มีเหงื่อเลย การมีกางเกงในเยอะสามารถทำให้รอซักผ้าได้นานขึ้น คุ้มขึ้น

        ที่บอกมาทั้งหมดก็มักจะเป็นของที่มีประโยชน์ที่คนมักมองข้าม พวกอะไรที่เกี่ยวกับของส่วนตัวทั่วไปพวกเราก็น่าจะรู้กันดีอยู่แล้ว ผมก็ไม่อยากจะบอกว่า “เอาของที่จำเป็นจริงๆไปและของอย่างอื่นก็เอาไปแต่พอประมาณเพราะกระเป๋าจะได้ไม่หนัก” หรอก เพราะพอคุณมีประสบการณ์การเดินทางมากขึ้นเรื่อยๆ คุณจะเข้าใจและรู้ซึ้งถึงประโยชน์ของมันเอง

3. คืนแรกใน NZ



          ผมจองตั๋วเครื่องบินมาล่วงหน้าสามเดือนเพราะคิดว่าราคาน่าจะถูกกว่า ซึ่งจริงๆแล้ว ผมมาพบทีหลังว่าหากจองล่วงหน้าสักสองเดือนหรือเดือนครึ่งก็น่าจะยังได้ราคานี้อยู่ ผมมาถึงสนามบินของนิวซีแลนด์ที่เมือง Auckland ในเวลาประมาณสี่ทุ่ม ระหว่างที่กำลังตอบคำถามกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองและกำลังเดินออกมา ก็มีเจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งจูงสุนัขพันธุ์ตัวใหญ่ๆเดินเข้ามาหาผม ผมคิดว่ามันคงจะอยากมาทักทายคนต่างถิ่น หรือไม่ท่าทางของผมก็น่าจะมีแววเป็นนักขนส่งที่ดี
 หลังจากนั้นผมก็เดินออกมาจากสนามบินมาคนเดียวแบบงงๆ อะไรๆก็ดูแปลกหูแปลกตาไปหมด อากาศข้างนอกก็เย็นจนสามารถเรียกว่าหนาวได้แล้วเพียงแต่ผมยังงงอยู่ก็เลยยังรู้สึกช้าอยู่ แล้วเอางัยต่อล่ะ? ก่อนการเดินทางผมได้จองแบคแพคเกอร์ทางออนไลน์ไว้แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในตัวเมือง และก็รู้ข้อมูลมาว่า ที่สนามบินจะมีบริการรถบัสเพื่อขนส่งผู้โดยสารเข้าเมืองไว้คอยบริการตลอด 24 ชม ผมเดินไปซื้อตั๋วและได้โบวชัวแผนที่เมืองมาแผ่นหนึ่ง ในนั้นมีจุดที่รถบัสจอดระบุไว้ด้วย แต่ผมควรจะลงตรงไหนล่ะจึงจะใกล้กับโรงแรมที่ผมจองไว้ อินเตอเน็ตในโทรศัพท์ก็ยังไม่มี จะว่าไปแล้วซิมของที่นี่ก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ ผมก็เลยถามคนข้างๆดู เค้าก็แนะนำให้ลงตรงจุดที่ 5 นะ ผมก็โอเคๆไป เค้าว่าอย่างไรผมก็ว่าตามนั้น

พอถึงจุดที่จะลง ผมก็คว้ากระเป๋าขึ้นหลังอย่างทุลักทุเล เพราะมันหนักมากถึง 20 กก แหนะ โควต้าสายการบินให้เท่าไหร่ ผมก็จัดเต็มเลยแบบไม่มีขาด ภาระมันเลยมาตกอยู่ที่หลังผมนี่ ขอให้มองเหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์นะครับ แต่คนมันไม่เคย มันก็เลยพกกันเหนียวไว้ก่อน พอผมลงมาจากรถพร้อมกระเป๋าที่หนัก แถมยังมีกระเป๋าถือสะพายข้างมาอีกหนึ่งชิ้น ผมพบว่าข้างนอกมีฝนตกปลอยๆด้วย คนก็เดินกันกวักไกว่ ถ้าจะให้ผมเปรียบถนนเส้นนี้ก็เหมือนกับแถวๆสยามนั่นแหละที่มีห้างร้านติดกระจกตลอดทาง และยังคงดูคึกคักแม้ในยามดึก

บรรยากาศก็สุดแสนจะเป็นใจ ฝนตกปรอยๆในยามค่ำคืนที่เหน็บหนาวพร้อมกับกระเป๋าเดินทางที่หนักอึ้งและความงงๆที่ไม่รู้ว่าจะต้องเดินทางไปโรงแรมที่จองไว้ด้วยเส้นทางไหน ผมจึงทำหน้างงไปสบตากับผู้ชายคนหนึ่งที่เดินถือร่มสวนมา ผมบอกเขาว่าผมต้องการไปแบคแพคเกอร์ตรงจุดนี้ในแผนที่ พ่อหนุ่มคนนี้ก็ใจดีจริงๆ และบอกกับผมว่า “ผมคิดว่าผมรู้นะว่าโรงแรมนี้อยู่ตรงไหน เดี๋ยวผมพาไป” ผมก็ ok, thank you very much. พอเริ่มออกเดินเขาก็ถามผมว่าผมชอบอะไรใน NZ ผมก็ตอบแบบขำๆไปว่า “ยังไม่รู้หรอก ผมก็เพิ่งมาถึงนี่แหละยังไม่ค่อยรู้อะไรเลย” ผมก็ถามเขากลับไปว่า “แล้วคุณกำลังจะเดินไปไหนหรอ” เค้าก็ว่าเขากำลังเดินเล่นอยู่ซึ่งเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่งของเขา ผมก็คิดในใจว่าก็ดีเหมือนกันที่ได้เจอคนที่กำลังเดินเล่นเป็นคนนำทางให้ ผมก็ถามเขาต่อไปว่าเขาทำงานอะไรใน NZ เค้าก็บอกว่า (ในความเข้าใจของผมนะ เพราะช่วงที่ผมไปอยู่ที่โน้น อย่าว่าแต่ช่วงแรกเลย แม้แต่ช่วงท้ายๆผมก็ไม่เข้าใจ 100% ผมรู้สึกว่าสำเนียงของคนที่โน้นไม่เหมือนกับของคนอเมริกันที่เรามักคุ้นเคยตามสื่อต่างๆ) เขาเป็นคนที่ทำงานในสำนักงานขนส่งอะไรนี่แหละ อาจจะเป็นช่างตรวจสภาพรถ และเขาก็ไม่ใช่คน NZ ดั่งเดิมด้วย เค้าบอกชื่อประเทศบ้านเกิดของเขาแต่ผมก็จำไม่ได้ พอเดินไปได้เกือบห้านาทีหรืออาจจะเกินไปสักพัก ผมก็เริ่มคิดว่าไอโรงแรมนั่นมันไกลจากถนนในตัวเมืองขนาดนี้เลยหรือ เห็นในแผนที่เหมือนไม่น่าห่างกัน ผมก็เริ่มรู้สึกระแวงนิดๆ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเอาว่ะเป็นงัยเป็นกัน นายอาจจะคิดมากไปเอง แต่ผู้ชายคนนี้ก็พาผมลัดเลาะโน่นนี่และเริ่มเป็นจุดที่มีคนน้อยลงเรื่อยๆ แต่ก็นั่นแหละ ผมก็ทำเป็นใจดีสู้เสือเดินตาม และแล้วเขาก็พาผมมาถึงที่หมายจนได้( บอกแล้วว่าคิดมากไปเอง คืนแรกที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็คิดเยอะอย่างนี้แหละเนอะ) ผู้ชายคนนี้ช่วยผมแม้กระทั่งใช้ด้ามร่มเคาะเรียกพนักงานข้างในให้ออกมาเปิดประตูให้ เนื่องจากประตูใช้ระบบคีการ์ด ก่อนจากกันผมก็บอกเขาว่า เมื่อกี้คุณถามผมว่าผมชอบอะไรใน NZ ใช่มั้ย ที่ผมบอกได้ตอนนี้ก็คือผมชอบคนใน NZ ขอบคุณมากนะคับพร้อมกับท่าทางซาบซึ้งแบบลนๆ แต่ผมก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ บอกก่อนนะคับว่าผมไม่ใช่เกย์ ผมแค่ชอบพูดความรู้สึกของผมออกมากับคนที่ช่วยผมไว้โดยที่ไม่กั๊กก็เท่านั้น  







4. สัปดาห์แรกใน NZ ทำอะไร?

    

และแล้วคืนแรกก็ผ่านไปหลังจากได้ลืมตาตื่นขึ้นมาที่ NZ  ในเช้าวันแรกที่เห็นแสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามากับความหนาวที่ไม่คุ้นเคย ห้องที่ผมได้นั้น (เดี๋ยวก่อนนะ) น่าจะเรียกว่าเตียงของผมมากกว่า เพราะในหนึ่งห้องขนาดประมาณ 15 ตรม. มีเตียงให้คนเข้าพักได้ถึงสี่เตียง คือเป็นเตียงสองชั้นตั้งตรงข้ามกัน และมีหน้าต่างให้หนึ่งบานที่ทำให้พอได้เห็นวิวและสูดอากาศภายนอก ฟังดูเหมือนแล้งแค้นใช่ไหม แต่มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก ผมหมายถึงถ้าเป็นอากาศในฤดูหนาวอย่างใน NZ ตอนนี้ที่อุณหภูมิตอนเที่ยงจะประมาณ 15 องศา และเวลากลางคืนจะประมาณ 8 องศา หน้าต่างบานเดียวก็เกินพอแล้ว เพราะเอาเข้าจริง น้อยครั้งมากที่เราจะเปิดหน้าต่างอย่างเต็มที่ แต่จะว่าไปตอนผมอยู่ห้องคนเดียวในตอนกลางวันผมก็ชอบเปิดเต็มที่นะ ผมชอบอากาศแบบโปร่งๆโล่งๆ

เอาละมาว่ากันต่อว่าผมตื่นมาแล้วผมเริ่มทำอะไร ผมตั้งสติตั้งแต่ตอนอยู่บนเตียงตอนยังไม่ทันลุกแล้วแหละ มีสิ่งหนึ่งที่ผมต้องเริ่มทำเป็นอันดับแรกก่อนที่จะเริ่มคิดอะไรเลยก็คือการไปขับถ่ายให้รู้สึกว่าหมดก่อน ผมรู้สึกว่ากิจกรรมนี้เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลมากในเมื่อเราให้เวลากินหลักๆถึงสามครั้งต่อวัน การเอาออกแบบสมบูรณ์จะทำให้วันทั้งวันดูโล่งขึ้น ไม่มีอะไรมากวนใจ ความคิดความรู้สึกจะไม่ถูกกดดัน (เริ่มเยอะไปแล้วหรอคับ งั้นผมหยุดเรื่องนี้ไว้ตรงนี้นะคับ) จากนั้นผมก็หาอะไรกิน แน่นอนว่านั่นก็คือ….โจ๊กซอง ไม่มีอะไรง่ายไปกว่านี้อีกแล้ว ดีที่ทางที่พักเค้ามีห้องครัวรวมขนาดเล็กกับอุปกรณ์ต่างๆไว้บริการด้วย ยังมีอะไรอีกล่ะ อ้อ ขนมปังห่อที่ติดมาด้วยงัย เอาเป็นว่ากินให้มันพอมีแรงต่ออีก 2-3 ชม. ก็โอเคแล้ว ไว้หากินอีกทีข้างนอก












        






 เป้าหมายของวันนี้ก็คือ ไปทำเรื่องสมัครขอเลขที่ผู้เสียภาษี (IRD) เลขที่นี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสมัครงานที่ถูกกฎหมายใน NZ พูดง่ายๆก็คือเลขประจำตัวสำหรับแรงงานทุกคนใน NZ นั่นแหละ และรัฐบาลก็จะหักภาษีจากรายรับของเราผ่านรหัสประจำตัวของเรานี้ ซึ่งที่ที่ผมสามารถขอรหัสนี้ได้ก็คือธนาคารของรัฐที่ชื่อว่า Giwi Bank ซึ่งก็มีสาขาอยู่ทั่วเมืองทั่วประเทศ จะว่าไปก็คล้ายๆกับธนาคารรัฐบาลของบ้านเรานี่แหละ เรื่องเอกสารที่ต้องใช้อะไรๆ ผมก็เช็คในอินเตอเน็ตมาก่อนหน้าตั้งแต่ที่ไทยและเตรียมให้พร้อมตั้งแต่ก่อนออกเดินทางแล้ว จัดกลุ่มติดกิ๊บแยกประเภทไว้เรียบร้อย พอจะใช้ก็เลือกหยิบเป็นหมวดหมู่ได้เลย ประหยัดเวลา ผมแนะนำเทคนิคนี้นะคับหากมีธุระอะไรที่สามารถเตรียมเอกสารล่วงหน้าได้

 เมื่อผมยื่นเรื่องไปแล้วก็ต้องรออีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่รัฐบาลจะส่งรหัสที่เราขอกลับมาทางไปรษณีย์ตามที่อยู่ที่เราให้ไว้ ซึ่งก็คือที่อยู่ของแบคแพคเกอร์ที่ผมอยู่นั่นเอง นั่นสามารถทำให้ผมพอคาดการณ์ได้ว่าผมจะต้องได้อยู่ต่อที่นี่เป็นสัปดาห์ที่สองเป็นแน่

        และอีกเรื่องต่อมาที่ต้องทำก็คือ ต้องมีเลขบัญชีธนาคาร สิ่งนี้เป็นช่องทางในการรับค่าแรงการทำงานและเป็นผู้ช่วยในการดูแลเงินของเรา ผมไปติดต่อกับธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งจะว่าไปทุกธนาคารก็น่าจะคล้ายๆกันนะคับ เพียงแต่บางธนาคารคิวอาจจะยาวหน่อยก็อาจจะต้องได้นัดไว้แล้วกลับมาทำวันอื่น บางธนาคารหรือบางสาขาก็สามารถทำได้เลย อันนี้ขึ้นอยู่กับเมืองที่เราไปติดต่อนะคับ ถ้าเป็นเมืองที่คนพลุกพล่านอย่าง Auckland ที่ผมไปติดต่อนั้นก็น่าจะมีการจัดคิวนัดให้มาวันหลัง แต่หากเป็นเมืองอื่นทั่วไปก็น่าจะสามารถทำได้ทันทีเลย เพราะการเปิดบัญชีหนึ่งนั้นพนักงานหนึ่งคนจะต้องอยู่กับเราประมาณ 15 -20 นาที เพื่อแนะนำให้กรอกเอกสารและการใส่รหัสผ่านที่เราต้องใช้เพื่อเข้าถึงบัญชีของเราผ่านอินเตอร์เน็ต

        พอทำสองเรื่องนี้เสร็จผมก็เอาเงิน USดอลล่าที่เตรียมมาจากไทยประมาณ 500 เหรียญ มาแลกเป็นNZดอลล่า ผมเอา US ดอลล่ามาเพราะมันสะดวกกว่าเมื่อต้องแลกกับธนาคารสาขาในต่างจังหวัดเมื่อเทียบกับการแลกสกุลเงินนิวซีแลนด์โดยตรง แต่หากคุณมีโอกาสได้อยู่ใกล้ร้านที่รับแลกเปลี่ยนสกุลเงินอยู่แล้ว การแลกเปลี่ยนมาเป็นสกุลนิวซีแลนด์โดยตรงก็น่าจะสะดวกกว่า จำได้ว่าตอนนั้นผมแลกมาได้ประมาณ 600 เหรียญนิวซีแลนด์

จากนั้นผมก็ลองเอาบัตรเดบิตจากธนาคารที่ไทยไปลองเสียบตู้ดูเพื่อจะลองดูว่าผมสามารถเข้าถึงบัญชีที่ไทยได้ไหม ซึ่งปรากฎว่าเข้าถึงได้ดีไม่มีปัญหาอะไร แต่ถึงอย่างไรผมก็ตั้งใจที่จะไม่ยุ่งกับบัตรนี้หากไม่สุดวิสัยจริงๆ คือผมตั้งใจที่จะใช้เงินสด 600 เหรียญที่มีอยู่ตอนนี้เป็นทุนในการตั้งตัวในขณะที่อยู่ในดินแดนใหม่นี้ และตั้งใจที่จะไม่ยุ่งกับเงินเก็บที่ไทย ดังนั้นเมื่อทุกอย่างที่จำเป็นต้องทำได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็เพียงรอให้เอกสารส่งกลับมา ฉะนั้นตอนนี้ผมจึงตัดสินใจอยู่ในเมืองนี้จนกว่าจะได้เอกสารต่างๆจนครบ และผมก็ไม่อยากจะรีบร้อนอะไรด้วย ผมจำเป็นต้องปรับตัวให้คุ้นชินกับบรรยากาศของประเทศนี้ ไม่ว่าจะเรื่องอากาศ เงิน ร้านค้า และสิ่งรอบๆตัว ผมจึงเริ่มหาที่ทำงานแล้วก็ถือโอกาสเดินเที่ยวรอบเมืองไปด้วยเลย

     ผมเข้าไปถามร้านอาหารหลายที่ทั้งไทยและต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ยังไม่ต้องการรับพนักงานเพิ่ม บางร้านก็กำลังมองหาคน แต่คุณสมบัติของผมก็อาจจะไม่เข้าตา เป็นต้นว่า วีซ่าของผมมันอิสระมาก คือสามารถจะย้ายไปไหนก็ได้เพราะไม่มีข้อผูกมัดใดใด บางครั้งจากประสบการณ์ของคนทำร้านส่วนใหญ่มันก็อาจจะไม่คุ้มค่าเวลาที่จะฝึกพนักงานใหม่ด้วยความเสี่ยงที่ไม่รู้ว่าคนๆนั้นจะสามารถอยู่ช่วยงานที่ร้านได้นานแค่ไหน และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ คุณสมบัติของผมอาจจะไม่โดดเด่นนัก บางร้านต้องการคนที่ทำอาหารได้ด้วยหรือไม่ก็มีประสบการณ์การทำงานในครัวอยู่บ้าง แต่หากจะพูดไปแล้ว ทักษะด้านภาษาอังกฤษที่ผมรู้สึกว่าเป็นทักษะที่ผมเชี่ยวชาญที่สุดและมีประโยชน์มากเมื่อต้องสมัครงานที่ไทย การสื่อสารภาษาอังกฤษได้ในประเทศที่เค้าใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกันอยู่แล้ว ความสามารถนี้แทบจะไม่เป็นเรื่องที่โดดเด่นอะไรเลย สรุปก็คือผมได้แต่เดินหางานและเสนอตัวที่จะช่วยเป็นลูกมือหลังร้านอะไรทำนองนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ผมก็ยังหางานไม่ได้






 
 บางวันรู้สึกท้อบ้าง ไม่สบอารมณ์บ้าง ผมก็เปลี่ยนแผนไปเป็นการเดินเที่ยวไปโน่นไปนี่มันซะเลย ผมต้องขอบอกว่าที่ NZ นี้มีสถานที่ที่เอื้อให้คนเข้าใกล้ธรรมชาติอยู่มากมายหลายแห่งเลยทีเดียวถึงแม้ว่าจะเป็นในตัวเมืองก็ตาม มีสวนสาธารณะอยู่หลายแห่ง วิวทิวทัศน์ก็สวยงามตา ขนาดว่าเป็นเมืองที่มีผู้คนอยู่มากอย่างเมืองนี้ก็มีวิวสวยๆให้เห็นอยู่ตลอด จะว่าไปตลอดระยะเวลาหนึ่งปีกับอีกสามเดือนที่ผมอยู่ที่นั่น แม้ว่าผมจะต้องเจองานหนักบ้าง ตากแดดบ้าง แต่การที่ผมได้มีโอกาสใกล้ชิดกับธรรมชาติตลอดเวลาแบบนี้ ผมแทบจะไม่เคยคิดว่างานที่ทำอยู่นั้นหนักเลย อากาศที่หนาวเย็นก็อาจจะมีส่วนด้วย ที่ทำให้ไม่รู้สึกล้าหรือเพลียเมื่อต้องทำงานที่ลักษณะคล้ายๆกันหากอยู่ที่ไทย

     หลังจากที่ผมเดินหางานแล้วต้องผิดหวังมาเกือบจะครบสองสัปดาห์ เอกสารที่ต้องการก็ถูกส่งกลับมาหาผมหมดแล้ว ตอนนี้ ผมมีบัญชีธนาคาร มีเลขผู้เสียภาษีและมีเงินสดเหลืออีกจำนวนหนึ่ง ผมตั้งใจว่าคืนพรุ่งนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่จะครบสองสัปดาห์ในการอยู่ที่นี่ ซึ่งผมก็ไม่อยากที่จะเดินลุ้นหางานในเมืองนี้ต่อไปอีก ผมกำลังเตรียมตัวที่จะย้ายเมือง เพราะอาจจะได้เจอโอกาสที่ดีกว่า เงินสดที่มีอยู่ก็ลดลงเรื่อยๆ ผมคิดมากอยู่เหมือนกันในตอนนั้น และในหัวค่ำคืนนั้นก็มีเบอร์นึงโทรมาหาผม ซึ่งคนที่โทรมาเป็นพี่คนไทยจากร้านอาหารไทยร้านหนึ่งที่ผมเคยเข้าไปถามแล้วทิ้งเบอร์ให้เขาไว้ พี่เค้าอยากให้ผมไปลองทำงานที่ร้านดูในวันพรุ่งนี้ แน่นอนว่าผมต้องตอบตกลง


         

5. งานในร้านอาหารไทย



        วันต่อมาผมจึงได้ไปเริ่มงาน ซึ่งงานก็คือการเป็นผู้ช่วยพ่อครัว ที่มีหน้าที่คอยตักข้าว หุงข้าว หั่นผัก ไปเอาจานจากห้องล้างจาน และล้างเครื่องครัวหลังจากปิดร้าน  โดยทางร้านจ้างผมวันละห้าชั่วโมงต่อวัน โดยเริ่มงานในช่วงห้าโมงเย็นจนถึงสี่ทุ่ม และเป็นการจ้างงานแบบเงินสด ซึ่งก็คือทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้เสียภาษี (คุณรู้ใช่ไหมว่าผมกำลังพูดถึงอะไร) เค้าให้ผมชั่วโมงละสิบเหรียญพร้อมกับมีอาหารให้อีกสองมื้อ คือมื้อเย็นขณะที่ทำงานมื้อนึง และพ่อครัวจะทำให้อีกมื้อนึงโดยจะห่อให้ตอนกลับบ้าน ผมมาคิดๆดูแล้ว ค่าแรงขั้นต่ำตามกฎหมายคือสิบห้าเหรียญ แต่พอมามองว่าได้กินฟรีสองมื้อ ซึ่งหากคิดดีๆแล้ว ผมซื้อข้าวกินปกติมื้อหนึ่งก็ราคาประมาณ 10-12 เหรียญ และแม้ว่าผมจะได้ค่าแรงชั่วโมงละ 15 เหรียญตามกฎหมายค่าแรงขั้นต่ำ ผมก็ต้องเอาเงินไปซื้อข้าวกินอยู่ดี และที่สำคัญคือ ช่วงนี้ผมจำเป็นต้องการปรับตัวสำหรับการอยู่ในประเทศนี้ ทั้งยังต้องการเงินสดเพิ่มมากขึ้นด้วย ผมจึงตัดสินใจว่าจะอยู่ที่ร้านสักพัก ซึ่งในใจผมก็รู้ว่านี่จะเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ผมก็ไม่อยากเสียมารยาท พอทำงานไปได้สักสัปดาห์ผมจึงถามพี่ที่ร้านว่า ถ้าวันหนึ่งผมจะขอลาออก ผมควรจะบอกพี่ล่วงหน้าเท่าไหร่ดี พี่เค้าก็บอกว่าประมาณเดือนนึงละกัน พอหลังจากนั้นอีกอาทิตย์หนึ่งผมก็บอกพี่เขาว่า เดือนหน้าผมขอลาออกนะคับ มันอาจจะดูเร็วไป แต่ผมคิดว่าการบอกกันก่อนก็ดีกับร้านเขาด้วย หลังจากนั้นผมก็ทำงานต่อมาเรื่อยๆจนครบกำหนดวันที่ตกลงกันไว้



 

6. การย้ายเมืองครั้งแรก

    
        ก่อนหน้าที่จะออกจากร้านอาหารประมาณสองสัปดาห์ผมก็ได้ไปซื้อตั๋วรถบัสอีกเมืองหนึ่งรอไว้แล้ว เมืองนั้นชื่อว่า Hastings คุณอาจจะสงสัยว่าทำไมผมถึงเลือกไปเมืองนี้ใช่ไหม ที่มาที่ไปของมันก็คือ ระหว่างที่ผมพักอยู่ห้อง 701 ในแบคแพคเกอร์แรกนั้น ผมได้เจอกับรูมเมทมากหน้าหลายตา และหลายเชื้อชาติ สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเข้าพัก บางคนก็มาอยู่ 2-3 คืน บางคนคืนเดียว บางคนก็อยู่เป็นสัปดาห์ ผมรู้สึกสนุกที่ได้เจอคนต่างชาติต่างวัฒนธรรม ผมชอบอะไรที่หลากหลาย และผมก็แทบจะชวนคุยกับทุกคนที่เข้ามาพักเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมอง ซึ่งเป็นสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับผม ในฐานะผู้มาใหม่ของประเทศนี้

หากเจอพวกคนที่มาพักเพื่อรอเที่ยวบินกลับบ้าน ผมก็มักจะถามคำถามอย่างเช่น คุณไปอยู่ที่ไหนในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาบ้าง  รู้สึกชอบที่ไหนเป็นพิเศษไหม มีงานดีดีในเมืองไหนที่พอจะแนะนำได้บ้างไหม และเมือง Hastings ก็เป็นชื่อเมืองหนึ่ง ที่นักกระดานโต้คลื่นชาวญี่ปุ่นที่เคยเข้ามาพักห้องเดียวกับผมแนะนำมา เค้าว่าที่นั่นมีงานเยอะและงานที่เขาชอบมากที่สุดก็คืองานเก็บบลูเบอรี่ ผมจึงตัดสินใจว่าเมืองต่อไปที่ผมจะไปก็คือเมือง Hastings นี่แหละ

คุณอาจจะสงสัยว่าอะไรทำให้ผมมั่นใจขนาดนั้นใช่ไหม ถ้าจะให้บอกก็คือผมมักจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเวลาพูดคุยกับคนว่าเค้ารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เค้าพูด อันที่จริงจะเรียกว่าเป็นการใช้สัญชาติญาณก็ได้ แต่เรื่องนี้น่าจะเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องยกไว้ก่อน เอาเป็นว่าผมรู้สึกได้ว่าเมืองที่เขากำลังเล่าให้ผมฟังนั้นเขารู้สึกดีกับสิ่งที่เขาเล่าจริงๆ ซึ่งความรู้สึกของผมในตอนนั้นก็รู้สึกว่าเมืองนี้จะต้องเป็นเมืองที่ผมสามารถทำงานเก็บเงินได้แน่ ผมจึงเช็คในอินเตอร์เน็ตเพื่อดูพิกัดของเมืองอีกสักหน่อยจากนั้นจึงไปซื้อตั๋วรถบัสเตรียมรอไว้

        และในที่สุดในช่วงกลางเดือนตุลาคมผมก็ได้เดินทางไกลใน NZ เป็นครั้งแรก ผมสามารถเก็บเงินเพิ่มจากการทำงานที่ร้านอาหารได้อีกประมาณ 200-300 เหรียญ ซึ่งผมก็จำแน่ชัดไม่ได้ แต่ผมรู้สึกว่ามันมากขึ้นกว่าเดิมหน่อยนึง ตอนนี้ผมก็เริ่มคุ้นเคยกับบรรยากาศใน NZ มากขึ้นเรื่อยๆแล้ว และพร้อมที่จะเดินทางออกจากเมือง Auckland






7. เมือง Hastings






        เมืองต่อมาที่รถโดยสารพาผมมาถึงก็คือเมือง Hastings ขอบอกตามตรงว่าที่มาที่ไปของการเลือกเมืองนี้มาจากความรู้สึกตอนที่คุยกับนักวินเซิฟชาวญี่ปุ่นคนนั้น และรู้สึกว่าเมืองนี้น่าจะดีกับการเก็บเงิน สำหรับเรื่องที่พักในเมืองนี้ ผมก็ได้คำแนะนำมาจากชาวญี่ปุ่นคนนี้เช่นกัน เขาบอกกับผมว่าผมต้องชอบที่นี่แน่ เขาแนะนำเพจของที่พักในเฟสบุคให้ผม ซึ่งผมก็ใช้ช่องทางนี้ ในการส่งข้อความติดต่อกับเจ้าของที่พักเรื่องการจองที่พักสำหรับวันที่จะเดินทางไป รวมถึงพิกัดของที่พักหากต้องเดินทางมาจากจุดจอดรถบัสในตัวเมือง
        ผมยังจำวันแรกที่ผมเดินเข้าไปใน Hastings Backpacker พร้อมกับของพะรุงพะรังและกระเป๋าที่หนักอึ้งได้ดี Ms. Kaye หญิงฝรั่งผิวขาวรุ่นคุณป้า ผู้เป็นเจ้าของและเป็นผู้ดูแลที่พักแห่งนี้ ออกมาต้อนรับผมด้วยท่าทางที่เป็นมิตรมาก เธอพาผมเดินไปห้องพักที่ผมต้องแชร์ห้องกับหนุ่มฮังการีตัวใหญ่ ผู้ซึ่งดูสุภาพมากเพราะผมมักจะเห็นเขาอยู่ในชุดสูทตลอดเวลา เขาอยู่ห้องนี้คนเดียวมาเกือบเดือนแล้ว บรรยากาศใน Backpacker นี้ดูแตกต่างจากที่ผมเคยอยู่ที่ Aucklandอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากที่นี่เคยเป็นบ้านคนที่ถูกปรับให้เป็นที่พักแก่นักเดินทาง มีห้องที่กว้างขวางกว่าและมีสถานที่โดยรอบให้เดินเล่น  นอกจากนี้ห้องครัวก็มีขนาดใหญ่กว่ามากด้วย ก็แน่ละเพราะมันคือ Backpacker ในเมืองต่างจังหวัด รู้ไหมค่าที่พักต่อสัปดาห์ถูกกว่าที่ผมอยู่ใน Auckland ตั้ง 40 เหรียญแหนะ และผมก็ไม่ต้องนอนเตียงสองชั้นอีกแล้ว ที่นี่ผมได้นอนเตียงเดี่ยวส่วนตัว ผมยังจำความรู้สึกที่ผมตื่นมาในเช้าวันแรกที่นี่ได้ ผมรู้สึกว่าผมได้หลับสบายมาก และได้ยินเสียงนกคุยกันนอกหน้าต่างในตอนเช้าขณะที่ผมตื่นนอน

        สิ่งที่ต้องทำในช่วงนี้ก็คือหางานทำ และคนเดียวที่น่าจะพอช่วยผมได้ ที่ผมพอจะนึกออกตอนนี้ก็คือเจ้าของที่พักแห่งนี้ ซึ่งก็คือป้าเคย์ เธอบอกว่าจะช่วยติดต่อนายหน้าจัดหางานให้ผม ซึ่งเขาจะมาพบผมในอีกสองวันที่นี่ แน่นอนว่าผมจ่ายเงินค่าที่พักเป็นแบบเหมาจ่ายรายสัปดาห์ไปแล้ว ซึ่งผมก็คงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากการรอ และหาข้อมูลจากผู้เข้าพักอื่นๆในแบคแพคเกอร์นี้  บางทีผมก็อาจจะไปเดินชมเมืองบ้าง

คุณบางคนอาจจะเข้าใจแล้ว หรือบางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าทำไมเจ้าของที่พักจึงจำเป็นต้องช่วยเหลือเรื่องการหางานให้กับผู้ที่มาเข้าพักด้วย จริงๆมันก็ไม่ใช่ความจำเป็นหรอก แต่มันคือการบริการ ถ้าใครคนนึงสามารถได้งานทำที่อยู่ในบริเวณเมืองที่แบคแพคเกอร์นั้นตั้งอยู่ นั่นก็มีความเป็นไปได้ว่าลูกค้าคนนั้นจะพักที่นั่นนานขึ้น และนั่นก็คือรายได้ที่ต่อเนื่องขึ้นของเจ้าของที่พักนั่นเอง แต่ก็อย่างที่บอกแหละคับ การช่วยนี้ไม่ใช่หน้าที่แต่เป็นบริการเสริมของเจ้าของที่พักเอง

        ระหว่างวันที่ว่างๆผมก็เดินเล่นรอบเมือง ผมเป็นคนชอบเดินเล่นดูโน่นดูนี่ เมือง Hastings ดูเงียบมากในบ่ายวันพุธ ผมเดินไปเจอร้านขายสินค้า Asian อยู่ร้านหนึ่ง ซึ่งหากจะเรียกง่ายๆก็คือร้านขายของชำนั่นแหละ เพียงแต่อยู่ในรูปลักษณ์ที่ทันสมัย ผมเดินเข้าไปสำรวจเพราะอยากรู้ว่าข้างในนั้นมีอะไรบ้าง ที่นี่มีของขายมากมายตั้งแต่สากเบือยันเรือรบ มีแทบทุกอย่างที่ร้านของชำควรจะมี เจ้าของก็เป็นคนไทย

หลังจากที่เลือกมาม่ารสชาดไทยๆได้สองสามห่อ ผมได้มีโอกาสเจอคุณน้าคนไทยคนหนึ่ง เขาคุยกับผมสักครู่หนึ่งหน้าร้าน ถามถึงที่มาที่ไปว่าผมมาอยู่เมืองนี้ได้อย่างไร พอรู้ว่าผมกำลังหางานอยู่ น้าก็พยายามโทรติดต่อนายหน้าคนไทยที่รู้จักให้ ถึงแม้ว่าในขณะนั้นจะยังไม่มีงานเนื่องจากยังเป็นช่วงปลายฤดูหนาว แต่ก็ทำให้ได้รู้ว่าจะเริ่มมีงานสวนของฤดูกาลใหม่ในอีกสองสัปดาข้างหน้า บอกตามตรงผมรู้สึกดีที่ได้มีโอกาสเจอกับคนไทย บางทีการได้มีโอกาสได้ใช้ภาษาไทยหลังจากที่เพิ่งย้ายเมืองมาใหม่ๆแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกดีได้เหมือนกัน


8. น้าคนไทยใจดี





         เมื่อได้รู้แล้วว่าตอนนี้ยังไม่มีงาน น้าเค้าก็ชวนผมขึ้นรถบอกว่าจะพาไปเที่ยวบ้าน น้าคนนี้อยู่กับลูกสาวและลูกชายวัยรุ่น โดยส่วนตัวเมื่อรู้ว่ายังไม่มีงาน นั่นจึงทำให้ผมว่างและผมก็เป็นคนชอบเปลี่ยนบรรยากาศอยู่แล้ว ผมจึงตอบตกลงและขึ้นรถไปกับน้าเค้าโดยที่ไม่ได้ลังเลอะไรมากนัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผมไม่ได้รู้สึกว่าน้าเค้ามีพิษมีภัยอะไร และเค้าก็อุตส่าห์เอ่ยปากชวน ซึ่งผมเองก็อยากเห็นอะไรใหม่ๆในเมืองนี้อยู่แล้ว เหตุผลก็ง่ายๆแบบนั้นแหละครับ

        พอไปถึงบ้านผมก็ได้เจอกับลูกชายของน้า น้าก็ถามผมโน่นนี่สัมภาษณ์ผมไปเรื่อย ผมก็รู้สึกเพลิดเพลินที่ได้คุยกับคนไทยซึ่งผมก็เป็นคนชอบถามโน่นถามนี่เหมือนกัน ที่บ้านในขณะนั้นมีห้องว่างอยู่ห้องหนึ่ง และเนื่องจากเมืองที่น้าเค้าอยู่นั้น ห่างจากร้านที่เราเจอกันประมาณครึ่งชั่วโมงซึ่งตอนนั้นก็ค่อนข้างเย็นแล้ว น้าเขาเสนอหากผมสนใจที่จะนอนค้างที่นี่สักคืนในห้องว่างนั้น หลังจากที่ผมได้เห็นห้องแล้ว ผมก็รู้สึกว่ามันไม่มีอะไรน่ากังวล ผมจึงตอบตกลง แน่นอนว่าน้าเค้าทำอาหารไทยเลี้ยงมื้อเย็นผมด้วย

        ผมนอนบนเตียงขนาดใหญ่อย่างสบาย และตื่นมาในตอนเช้าอย่างรู้สึกดีและสงบ โดยปกติผมเป็นคนตื่นเช้า ผมตื่นเพราะร่างกายรู้สึกอิ่ม และผมก็ชอบที่จะไม่พลาดเวลาในการเข้าห้องน้ำในตอนเช้า เพราะหากเราถ่ายหมดเราจะรู้สึกโล่งไปทั้งวัน

 ผมเป็นพวกชอบเวลาในตอนเช้ามาก เนื่องด้วยความเงียบและอากาศที่สดชื่นดี ยิ่งถ้าได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติด้วยนะ ผมนี่เสพติดกับบรรยากาศตอนเช้าเลย ผมตื่นก่อนใครในบ้าน และหลังจากการเข้าห้องน้ำและล้างหน้าล้างตาแล้ว ในขณะที่คนอื่นๆยังหลับอยู่  ผมก็แอบเปิดประตูบ้านอย่างเงียบๆเพื่อออกไปข้างนอก ผมแค่อยากออกไปเดินเล่น

        แผนก็ไม่มีอะไรมากก็แค่เดินไปเรื่อยๆ อะไรอะไรก็ดูน่าสนใจไปหมดในสถานที่ใหม่ๆแบบนี้  ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงของบ้านคน ถนนเงียบๆในตอนเช้า เสียงนกร้องที่แตกต่างออกไปจากที่คุ้นเคย แน่นอนว่าไม่มีเสียงไก่ขันเหมือนในชนบทบ้านเรา ผมเดินผ่านซุปเปอร์มาเก็ต ร้านขายเบเกอรี่ จนมาถึงสวนสาธารณะแห่งหนึ่งโดยบังเอิธ ในมุมมองของผม นี่แหละคือความตื่นเต้นอย่างหนึ่งของการเดินไปอย่างไม่มีจุดหมาย.. การที่เราได้เจอสิ่งที่เราชอบแบบไม่ได้ตั้งใจ

        สวนนี้ชื่อว่า Anderson’s Park จากการมองคร่าวๆก็ดูกว้างขวางใหญ่โตพอดู มีสระน้ำขนาดใหญ่ มีห่านขาว ห่านดำ และหงส์สีดำ ใช่ครับ คุณอ่านไม่ผิดหรอก มันมีหงส์สีดำในโลกนี้จริงๆ ผมเองก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ นอกจากนี้ก็ยังมีเป็ดอีกมากมาย สัตว์หลายสปีชี่ส์เดินปะปนกันในกลุ่ม ผมว่ามันดูแปลก ตลก แล้วก็ดูดี









 ภายในสวนนี้จะมีเส้นทางคอนกรีตให้เดินโดยรอบ มีสนามหญ้าขนาดใหญ่อยู่กลางพื้นที่ มีคนนำหมามาเดินเล่น หมาที่เจ้าของพามาเดินเล่นจำเป็นต้องมีคนคอยดูแลอยู่ตลอดเวลาและต้องมีเชือกผูกคอไว้ตลอด (บางสวนก็สามารถปล่อยให้วิ่งอย่างอิสระได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าของตลอดเวลา) กฎแบบนี้น่าจะถูกคิดขึ้นมาเพื่อให้สวนนี้สามารถเอื้อประโยชน์ให้กับความต้องการที่หลากหลายของทุกคนที่เข้ามา โดยที่ไม่รบกวนซึ่งกันและกัน สวนสาธารณะที่นี่ดูสงบและผ่อนคลายเนื่องจากไม่มีผู้คนพลุกพล่าน ในพื้นที่บริเวณสวน(หากไม่นับรวมลานสเก็ตบอร์ด) คุณอาจจะเจอคนไม่น่าจะเกิน 20 คนในช่วงเวลาปกติ ต่างคนก็ต่างต้องการความเป็นส่วนตัวของตัวเอง และต้องการใกล้ชิดกับธรรมชาติ ในสวนยังมีสถานที่ให้เด็กและวัยรุ่นมาเล่นสเก็ตบอร์ดโดยมีสถานที่จัดไว้ให้เฉพาะ เท่าที่สังเกตผมคิดว่าวัยรุ่นที่นี่ชอบเล่นสเก็ตบอร์ดและรักบี้ ผมไม่เคยเห็นคนเล่นฟุตบอล บาส หรือแบตมินตันตามสวนสาธารณะเหมือนอย่างบ้านเราสักเท่าไหร่ อันที่จริงแบตมินตันนี่ผมไม่เคยเห็นเลยสักครั้งเดียว แต่ละกลุ่มคนก็มีความชอบไม่เหมือนกันว่าไหม? เอาเป็นว่าสวนนี้สร้างความประทับใจให้ผมตั้งแต่แรกพบ ข้อดีของที่นี่คือใกล้บ้านของน้า ระยะประมาณ 300 เมตรได้มั้ง และมีซุปเปอร์มาเก็ตอยู่ในอาณาเขตนั้นด้วย ในใจผมรู้สึกได้ทันทีเลยว่า แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว แม้ว่าจะยังไม่มีรถยนต์เป็นของตัวเองในตอนนี้ก็ตาม เนื่องจากผมมีที่ที่สามารถทำให้ผมรู้สึกดีได้ในระยะทางที่สามารถเดินไปถึง

        สักพักน้าก็โทรมา คงแปลกใจที่ผมออกจากบ้านมาในตอนเช้าโดยที่ไม่ได้บอกใคร เค้าอาจจะกลัวผมหลง(แต่จริงๆบางครั้งผมก็ชอบความรู้สึกว่าผมกำลังหลง มันดูงงๆและตื่นเต้นดี) พอเค้ารู้ว่าผมอยู่ที่สวนเค้าก็บอกให้ผมคอยอยู่ที่นั่น เดี๋ยวน้ากับลูกชายจะเอาขนมปังเหลือๆที่บ้านไปให้อาหารเป็ดที่นั่นด้วย ผมจึงได้รู้ว่า นอกจากปลาตัวใหญ่ๆแถววัดตามบ้านเราที่ชอบกินหนมปังแล้ว เป็ด ห่าน หงส์และนกก็ชอบกินขนมปังเหมือนกัน

9. ย้ายที่พัก


    
         ตกลงเป็นว่าผมจะย้ายมาอยู่บ้านกับน้าคนนี้ด้วยข้อเสนอที่ว่าเมื่อผมได้เริ่มทำงานและมีรายรับแล้วจึงจะเริ่มจ่ายค่าเช่า  สำหรับผมแล้วนั่นเป็นข้อเสนอที่ดีมาก บ่ายวันนั้นน้าได้พาผมไปเอาของที่แบคแพคเกอร์ที่ Hastings เพื่อย้ายไปอยู่บ้านของน้าที่ Napier

เพื่อเป็นการตอบแทนความมีน้ำใจของน้าที่ให้ผมอยู่ฟรีในระหว่างการรองาน แถมยังเลี้ยงข้าวผมอีก ผมจึงถือโอกาสทำความสะอาดบ้านให้ จะว่าไปมันก็เป็นงานที่ผมมักทำเป็นประจำและไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไร เพราะผมจะรู้สึกดีที่ได้อยู่ในที่ที่สะอาดและน่าอยู่ ผมจะขอนอกเรื่องสักนิดนึงสำหรับประเด็นนี้

 หากมีสถานการณ์ที่ผมได้ไปอยู่ในที่ใหม่ที่ไม่คุ้นเคย แล้วผมรู้สึกว่าหากได้ทำความสะอาดและจัดโน่นนี่สักหน่อยสถานที่นี้น่าจะน่าอยู่ขึ้นแล้วล่ะก็ ผมก็มักจะทำในทันทีที่มีโอกาส โดยส่วนตัวผมคิดว่าหากผมยอมเสียเวลาสักครึ่งชั่วโมงหรือชั่วโมงหนึ่งเพื่อทำให้สถานที่ที่ผมจำเป็นต้องใช้ทุกวันให้สะอาดขึ้น ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องที่คุ้มค่ากับเวลามาก สำหรับการแลกเวลาช่วงสั้นๆดังกล่าวกับความรู้สึกดีๆอีกหลายครั้งนับจากนั้น เมื่อต้องได้อยู่ในสถานที่ดังกล่าวในครั้งต่อๆไป

        หลังจากได้ใช้เวลาอยู่ในสังคมคนฝรั่งมากว่า 2 เดือน ในที่นี้ผมหมายถึงการใช้เวลาในที่พักอาศัยกับคนต่างชาติ สื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ มากหน้าหลายตา หลายประเทศ หลายเรื่องราว ผมต้องยอมรับว่าผมรู้สึกสบายใจและรู้สึกอบอุ่นเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้มาอยู่ในบรรยากาศแบบไทยๆอีกครั้ง พูดภาษาไทย กินอาหารแบบที่คุ้นเคย ผมไม่ได้บอกว่าช่วงเวลาที่ผมอยู่กับฝรั่งนั้นผมรู้สึกอึดอัดนะ มันก็แค่ความรู้สึกว่าไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก อย่างว่าแหละครับ บางทีการได้ไปอยู่ในสถานที่ใหม่สักช่วงเวลาหนึ่ง ก็อาจจะทำให้รู้สึกดีเมื่อได้กลับไปสู่ความคุ้นเคยอีกครั้ง

        ผมอยู่บ้านน้ามาเกือบอาทิตย์ เดินเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ตามที่ความสามารถของใจและขาของผมจะพาไปได้ จนในที่สุดคุณป้าที่เป็นนายหน้าที่น้ารู้จักได้ติดต่อมาว่า งานในฤดูกาลใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น ซึ่งงานแรกนั้นก็คือการดายหญ้าในแปลงฟักทอง







       

10. งานสวน








งานดายหญ้าในแปลงฟักทองไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมาก รูปแบบของงานก็ตรงกับชื่อเลย คือการกำจัดหญ้าหรือวัชพืชอื่นๆในแปลงฟักทองที่กำลังต้นเล็กอยู่ ซึ่งมีความสูงประมาณ 20 ซม อุปกรณ์ที่ใช้ก็มีลักษณะคล้ายหัวของเครื่องดูดฝุ่นที่มีด้ามจับ ผู้ใช้จะต้องไถหัวนั่นไปกับพื้น โดยหัวจะมีลักษณะเป็นเหล็กแบนคล้ายจอบ คนทำงานจะต้องเดินถือไม้และไถเอาวัชพืชรอบๆต้นฟักทองน้อยออก แถวฟักทองจะมีลักษณะเป็นแถวยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 150-200 ม ระหว่างต้นมีระยะห่างประมาณสองฟุต ระหว่างแถวประมาณ 1 เมตร ความซับซ้อนของงานก็มีเพียงเท่านี้ แต่ความท้าทายคือชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน คือ 8-10 ชั่วโมงต่อวัน เป็นต้นว่าอาจจะได้เริ่มงานประมาณเจ็ดโมงครึ่งหรือแปดโมงเช้าและไปสิ้นสุดตอนห้าโมงเย็นหรืออาจจะถึงหนึ่งทุ่มก็มี พอผมบอกว่าหนึ่งทุ่มก็อย่าเพิ่งตกใจไปนะครับ เพราะฤดูการดายหญ้าฟักทองนี้จะมีในช่วงฤดูร้อนของที่นี่ ซึ่งในฤดูร้อนของนิวซีแลนด์จะมีความพิเศษคือ พระอาทิตย์จะขึ้นเร็วและตกช้า ในบางช่วงของฤดูร้อน ในเวลาสองทุ่มจะมีบรรยากาศเหมือนตอนหกโมงเย็น นั่นคือฟ้าจะเพิ่งเริ่มสลัวๆ สภาวะที่เกิดขึ้นเช่นนี้น่าจะเป็นผลมาจากจุดที่ตั้งของประเทศนิวซีแลนด์ที่อยู่ในโซนใกล้ขั้วโลกใต้ ผนวกกับแนวแกนโลกที่เอียงและตำแหน่งการโคจรของโลกในเวลานั้นของปี ซึ่งผมก็มองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าตื้นเต้น เป็นเรื่องแปลกที่มีเหตุผลรองรับ


        งั้นผมจะขอย้อนไปที่เรื่องงานต่อนะครับ แม้ชั่วโมงการทำงานจะยาวนานแต่จะมีช่วงเวลาให้พักประมาณ 15 นาที ในทุกๆสองชั่วโมงของการทำงาน และจะมีการพักกลางวันประมาณครึ่งชั่วโมง นี่เป็นกฏหมายแรงงานของนิวซีแลนด์ในขณะนั้น กล่าวคือถ้าหากเราเริ่มงานตอนแปดโมงเช้า ในเวลาสิบโมงจะมีเวลาให้พัก 15 นาที และจะไปพักอีกทีตอนเที่ยงหรือเที่ยงครึ่ง ซึ่งแล้วแต่จะตกลงกัน  และจะมีตอนบ่ายสามโมงอีกสิบห้านาที และถ้าหากมีผู้สมัครใจทำงานไปจนถึงหนึ่งทุ่มดังที่ผมได้อธิบายไปแล้วเกี่ยวกับฤดูร้อนก็จะมีเวลาให้พักอีกในตอนห้าโมงเย็นอีก 15  นาทีเช่นกัน สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือตัวอย่างคร่าวๆนะคับ ในความเป็นจริงอาจมีการปรับบ้างตามความสมควรของสถานการณ์และข้อตกลงร่วมของทีมและผู้ว่าจ้าง ยกตัวอย่างเช่นบางงานอาจจะเริ่มตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าแต่ก็จะให้เริ่มพักครั้งแรกในตอน 10 โมง คุณก็อาจจะคิดว่า นั่นมันสามชั่วโมงไปแล้วนะ แต่นั่นก็เพราะเหตุผลที่ผมกล่าวไปแล้วแหละครับ ทุกอย่างสามารถปรับได้ตามสถานการณ์และข้อตกลง ซึ่งหากจะมองในอีกมุมหนึ่ง ในช่วงเวลาตอนเช้าของวันพลังงานของคนยังคงกระปี้กระเปร่าและสดชื่น การยื้อเวลาไปอีกหนึ่งชั่วโมงก็อาจจะไม่ส่งผลต่อสมรรถนะการทำงานมากนัก และที่สำคัญก็คือผู้ทำงานยินดีที่จะเริ่มงานเช้าเพราะคิดว่าอย่างน้อยก็ได้ออกมาทำงานแล้ว การได้มีโอกาสทำงานเพิ่มก็จะทำให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น โดยที่ค่าน้ำมันรถก็ยังคงเสียเท่าเดิมคือขาไปและขากลับ ชุดที่ใส่วันนั้นก็ต้องซักครั้งเดียวเหมือนกัน ดังนั้นการได้ชั่วโมงการทำงานเพิ่มจึงเป็นเรื่องที่ดีสำหรับพวกเขาส่วนใหญ่ ในขณะที่เจ้าของงานก็ต้องการให้ผลงานที่เกิดขึ้นต่อวันเกิดขึ้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เนื่องจากงานด้านการเกษตรมีความสัมพันธ์กับดินฟ้าอากาศและช่วงเวลา จึงมีความจำเป็นที่งานจะต้องเสร็จให้ทันช่วงเวลา ในเมื่อผู้จ้างและผู้ถูกจ้างต่างคิดว่าตนเองได้ผลประโยชน์จากข้อตกลงดังกล่าว แม้มันจะขัดกับข้อกฏหมายไปบ้างก็ตาม การปรับเพื่อความเหมาะสมจึงเกิดขึ้น


        งานส่วนใหญ่จะเป็นไปในลักษณะการจ้างแรงงานกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมบางอย่างที่เอื้อต่อการเติบโตของพืช หรือในกระบวนการผลิตที่เครื่องจักรขนาดใหญ่หรือเทคโนโลยีในปัจจุบันไม่สามารถทำได้ ด้วยเหตุผลของสภาพพื้นที่ และลักษณะงานที่น่าจะเหมาะสมกว่าในการเลือกใช้ผู้ปฏิบัติงานที่มีชีวิต ซึ่งถ้าจะมองในมุมมองของคนแล้ว งานโดยทั่วไปในแต่ละขั้นตอนอาจไม่ได้มีความสลับซับซ้อนอะไรเลย เป็นต้นว่า อาจเป็นการเก็บผลไม้ไปทีละต้นๆ โดยใช้บันไดอลูมิเนียมในการขึ้นเก็บ การเด็ดลูกอ่อนของไม้ผลอย่างแอปเปิลออกบ้าง และเหลือบางลูกไว้ในปริมาณและระยะห่างที่เหมาะสม เพื่อการเติบโตที่เต็มที่ของผลผลิตที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การดายหญ้าในแปลงฟักทองดังที่ได้กล่าวไปแล้ว การก้มเก็บสตอเบอรี่ การเด็ดใบองุ่นออกบ้างเพื่อให้พวงองุ่นได้รับแสงแดด ซึ่งจะช่วยในกระบวนการสร้างสีที่สมบูรณ์  จะเห็นได้ว่างานที่ได้กล่าวมานี้หรืองานประเภทอื่นที่ยังไม่ได้กล่าวถึงอีกมากมาย มักจะเป็นงานที่ไม่ได้มีขั้นตอนที่สลับซับซ้อนหรือต้องใช้เวลาวิเคราะห์หรือตัดสินใจมากมายนัก






ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งระหว่างที่ผมกำลังทำงานอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งผมก็จำไม่ได้ว่าตอนไหน แต่ความคิดที่จะกล่าวไปนี้ยังคงชัดเจนในความทรงจำของผม ความคิดนั้นบอกว่าแรงงานของมนุษย์ที่กำลังทำงานอยู่ในลักษณะเดียวกันไปเรื่อยๆ เพื่อให้งานในพื้นที่ขนาดใหญ่ในสวนต่างๆสัมฤทธิ์ผลนั้น จริงๆแล้วก็คือเครื่องจักรที่มีชีวิต ที่กำลังทำหน้าที่ของตัวเองในโรงงานที่ไม่มีหลังคาที่เรียกว่าสวนนั่นเอง ผมเคยรับรู้ถึงสิ่งนี้และเคยมีอคติต่อสิ่งที่เกิดขึ้นต่อความน่าเศร้าของชีวิตแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน บางคนต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตทำงานประเภทนี้ซ้ำไปซ้ำมา งานที่มีชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานและดูเป็นงานใช้แรงที่ดูเหนื่อย


แต่อันที่จริงแล้ว หลังจากนั้นไม่นานนัก ผมก็เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้คือความเป็นไปของสังคมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของมนุษย์ ผู้ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็อยากจะเลือกวิธีที่จะใช้เวลาบนโลกนี้อย่างสบายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งสิ่งที่จะมาช่วยตอบโจทย์นี้ได้อย่างสมบูรณ์ก็คือการใช้แรงงานของผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง นี่ไม่ใช่ความผิดของใครในโลกยุคปัจจุบัน ที่ประชากรส่วนใหญ่ในโลกมีสิทธิเสรีภาพในการที่จะใช้เวลาของตัวเอง ยุคของแรงงานทาสที่เกิดขึ้นมาก็เลือกอะไรไม่ได้ได้หมดลงไปแล้ว แต่ด้วยธรรมชาติของมนุษย์ที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น ความเป็นทาสจะยังคงเป็นสิ่งที่จะอยู่ต่อไปในสังคม จะต่างกันก็เพียง ในยุคนี้ผู้คนมีสิทธิ์ที่จะเลือกที่จะเป็นอิสระหรือจะยอมด้วยความสมัครใจก็เท่านั้น


   สิ่งสำคัญคือการสามารถตระหนักรู้ถึงสิ่งนี้ได้หรือไม่เท่านั้น ในโลกของอินเตอร์เน็ตที่การศึกษาและแนวคิดที่มีประโยชน์ไม่ได้ถูกจำกัดไว้ในที่เฉพาะอีกต่อไป ทุกคนมีโอกาสที่จะเรียนรู้สู่แนวทางที่จะเป็นอิสระ แต่สิ่งสำคัญก่อนการแสวงหาแนวทางเหล่านั้น จะเริ่มต้นมาจากการตระหนักรู้ถึงคุณค่าของเวลาที่มีอยู่ของแต่ละคนบนโลกใบนี้  สมบัติที่มีเพียงตัวคุณเองเท่านั้นที่มีสิทธิ์ที่จะบริหารและนำไปใช้

   สิ่งนี้อาจมีมากบ้างน้อยบ้างตามชะตาชีวิตของแต่ละคน ซึ่งจริงๆแล้วผมก็ไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องของโชคชะตานักหรอก ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของกฏแห่งการกระทำมากกว่า (แม้ว่าอาจจะดูเป็นเรื่องยากที่จะสามารถเห็นภาพรวม ภายใต้ประสาทสัมผัสของมนุษย์ก็เถอะ แต่หากมองในตรรกะของเหตุและผลก็น่าจะพออธิบายได้) ประเด็นก็คือ เวลาเป็นสิ่งที่คุณสามารถนำมาแลกเป็นเงินได้และแม้ว่าคุณจะสามารถนำเงินมาซื้อเวลาโดยทางอ้อมได้ แต่เมื่อถึงวินาทีที่เราต้องจากโลกนี้ไป ก็ไม่มีใครสามารถติดสินบนความเป็นไปของธรรมชาติได้เลย (คุณรู้ใช่ไหมว่าผมกำลังหมายถึงอะไร) เรากำลังเอาเวลาที่เป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของแต่ละชีวิตแลกกับอะไรอยู่? อะไรคือสิ่งสำคัญที่คุณจะยอมเอาเวลาในชีวิตของคุณแลกกับมันมา?

   แหม่ ว่าไปซะยาว แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาจากการตกผลึกในหัวของผมจากประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามา หวังว่ามันคงไม่ได้ทำให้การหลุดจากเรื่องการเดินทางใน NZ ดูน่ารำคาญจนเกินไป งั้นผมจะขอเล่าต่อถึงวิธีที่ผมใช้เพื่อให้การทำงานไม่ดูน่าเบื่อเกินไปนัก เมื่อต้องทำงานกลางแจ้งในชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน

 ถ้าเป็นวันที่อารมณ์ดีและแจ่มใส ผมก็มักจะคุยกับคนใกล้ๆที่ผมทำงานด้วย ถามโน่นถามนี่และเป็นผู้ฟังที่ดี ถ้าเค้าถามเรา เราก็เล่าของเราบ้าง แต่เรื่องของคำตอบมันก็แล้วแต่คุณ ว่าคุณจะสะดวกที่จะให้มันลึกแค่ไหน ส่วนใหญ่ผมมักจะเป็นฝ่ายถามและฟังมากกว่า แต่แน่นอนว่าการคุยกันมันก็ต้องมีวันเลิกราเหมือนงานเลี้ยง อีกวิธีหนึ่งที่ผมมักจะใช้ก็คือหาอะไรที่เป็น offline มาฟัง โดยผมจะโหลดเก็บไว้ในโทรศัพท์ อันนี้ก็แล้วแต่รสนิยมของแต่ละคน แต่ที่อยากจะแนะนำก็คือหากสามารถทำให้เป็น offline ได้จะทำให้ประหยัดแบตตารี่มากกว่า นอกจากนี้ก็ไม่ควรเสียบหูฟังนานจนเกินไป ควรสลับกับการพูดคุยกับคนอื่นด้วยจะดีกว่า เนื่องจากเรามีแค่สองหูที่ต้องใช้ทั้งชีวิต คงไม่สนุกแน่ถ้าต้องได้ยินอะไรไม่ชัดเนื่องจากเมื่อก่อนเราใช้มันอย่างหักโหมเกินไป

     Audio ที่ผมชอบฟังถ้าแบ่งตามประเภทก็จะแบ่งได้ 3 แบบ ได้แก่ อย่างที่หนึ่ง เพลงหรือดนตรีบันเลง ประเภทนี้เอาไว้ผ่อนคลาย บางทีเอาไว้บิ้วอารมณ์เพื่อสู้กับการทำงานกลางแจ้งแดดร้อนๆ พอได้เสียบหูฟัง ใส่หมวกใส่แว่น แล้วก็มีเพลงที่ชอบกรอกหู บางทีมันก็เหมือนได้อยู่อีกโลกหนึ่ง ต่อให้แดดร้อนเพียงใด บางครั้งก็ช่วยให้สามารถทำงานต่อไปได้อย่างอารมณ์ดี

 อย่างที่สองจะเป็น Audio ภาษาต่างประเทศที่ผมอยากพัฒนา ผมจะใช้วิธีโหลดมาจากยูทูปซึ่งจะมีแอปบางตัวสามารถรองรับงานนี้ได้  วิธีนี้ผมจะไว้ฟังตอนที่มีอารมณ์นิ่งๆกลางๆ พอจะเรียนรู้ได้ เอาเป็นว่าในช่วงเวลาที่ไม่ได้รู้สึกเซ็งหรือทรมาน แต่ก็ไม่ใช่ว่าพอเปิดของพวกนี้แล้วสมองของผมจะเรียนรู้ได้ทันทีหรอกนะคับ ผมแค่ต้องการเพิ่มชั่วโมงบินด้วยการฟังซ้ำไปซ้ำมา จะมีประโยชน์ที่สามารถเห็นได้ทันทีหรือไม่นั้นไม่ใช่ประเด็น การเรียนภาษาเป็นเรื่องของการทำซ้ำและเก็บชั่วโมงบินไปเรื่อยๆ บางครั้งเหมือนเราฟังแบบไม่ใส่ใจแต่สมองก็จะเก็บการทำซ้ำเหล่านั้นไว้ ซึ่งจะช่วยให้เวลาที่เราตั้งใจศึกษามันโดยตรงจริงๆจะง่ายขึ้นเพราะอาจจะมีตะกอนเก่าๆเหลืออยู่บ้าง อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะครับ แต่ผมก็เคยได้ยินคนพูดอะไรทำนองนี้มาบ้างเหมือนกัน และอย่างที่สามก็คือการฟังธรรมะ ฟังสัจธรรมของหลวงพ่อที่ผมนับถือ การฟังสิ่งนี้จะทำให้ผมรู้สึกปล่อยวางและมีสติตระหนักรู้ว่าผมไม่ควรจริงจังเกินไปในสิ่งชั่วคราวที่มันยึดไม่ได้อยู่แล้ว การฟังประเภทนี้จะช่วยลดความบ้าระห่ำของผมลง และสามารถทำงานต่อไปได้อย่างผ่อนคลายมากขึ้นโดยไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์โลภภายในใจจนเกินไป ที่อาจจะทำให้เสียสุขภาพจิตแล้วไปกระทบถึงร่างกาย ที่ผมกล้าพูดแบบนี้ก็เพราะ ผมเคยมีประสบการณ์จริงจังเกินเหตุ ซึ่งทุกครั้งที่มันได้ผ่านไป แล้วผมลองมองย้อนกลับไปก็มักพบว่า มันไม่เห็นจะคุ้มกันเลยนะ ทำไมตอนนั้นเราต้องจริงจังและเครียดถึงขนาดนั้น ตอนนั้นนายมันหมกหมุ่นเกินไปนะ ซึ่งผมก็มักจะมองย้อนกลับไปแบบขำๆในความหลงจริงจังของตัวเอง

     และอีกสิ่งหนึ่งที่นอกเหนือจากกิจกรรมที่ได้กล่าวไปแล้วก็คือ การดื่มด่ำกับธรรมชาติรอบตัวไปกับภาพของใบไม้ ต้นไม้ และภูเขา บางทีที่ที่ผมไปทำงานก็อาจจะโชคดีที่ได้เจอกับลำธารด้วย ได้ยินเสียงน้ำไหล เสียงนกร้อง ที่ต่างจากเสียงนกที่ไทย แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นเสียงจากธรรมชาติเหมือนกัน สิ่งรอบตัวแบบนี้กับการมองดูเช่นสิ่งเหล่านี้เป็นงานศิลปะที่มีชีวิต ทำให้ผมไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นมันเลวร้ายจนเกินไป หากมองอีกมุมหนึ่งมันก็อาจจะคล้ายๆกับสารเสพติดกล่อมประสาทที่ทำให้ผมรู้สึกดีได้บ้าง สิ่งเสพติดที่ทำให้ผมรู้สึกได้ว่าโลกนี้มันน่าอยู่และไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ใครเขาบอกกัน ทั้งหมดทั้งมวลมันอยู่ที่วิธีที่จะเลือกมอง คุณล่ะคิดอย่างไร?


 

คำนำและบทสรุป

          คำนำและบทสรุป           รูปแบบการเดินทางเป็นเรื่องราวเฉพาะบุคคล ไม่มีการเดินทางเส้นไหนจะวิเศษกว่าเส้นทางไหน เพราะทั้...